ก.แรงงาน 3 ต.ค.-กรมสวัสดิการฯ ย้ำนายจ้างก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ จ.ชัยนาท ให้ลูกจ้างหยุดงาน ต้องจ่ายค่าจ้างตามปกติ หากเลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย พร้อมตรวจสอบความปลอดภัยเพิ่มเติม 9 ต.ค.นี้
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยความคืบหน้าการช่วยเหลือลูกจ้างกรณีคานสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาระหว่างเทศบาลเมืองชัยนาทไป ตำบลท่าชัย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างได้เกิดการทรุดตัวและพังถล่มลงมาเป็นเหตุให้ลูกจ้าง ได้รับเจ็บบาดจำนวน 3 ราย และต่อมากระทรวงคมนาคมสั่งหยุดการก่อสร้างเป็นการชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานด้านวิศวกรรมและความปลอดภัยเข้าตรวจสอบและประเมินตามมาตรฐานความปลอดภัย เมื่อวานนี้ (2 ต.ค.)นั้น พนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชัยนาท ได้เข้าชี้แจงสิทธิหน้าที่ตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ให้กับผู้แทนบริษัท โชคดีวิศวภัณฑ์ จำกัด ผู้รับเหมาชั้นต้น บริษัท กิติปรีดา จำกัด และบริษัท อทาโส คอนสตรัคชั่น จำกัด ผู้รับเหมาช่วง ได้ทราบว่ากรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานเพราะเหตุดังกล่าว จะต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างตามปกติ และหากมีการเลิกจ้างลูกจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์อื่นให้กับลูกจ้างตามกฎหมาย
ทั้งนี้จากการตรวจเยี่ยมนายจ้างได้รับทราบข้อกฎหมายแล้วและแก้ปัญหาด้วยการส่งลูกจ้างบางส่วนไปทำงานในหน้างานอื่น ๆ ของบริษัท อย่างไรก็ตามกสร.จะติดตามเรื่องนี้ต่อไป
รองอธิบดีกรมสวัสดิการฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับการตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานนั้น เบื้องต้นได้สอบข้อเท็จจริงตัวแทนบริษัท กิติปรีดา จำกัด นายจ้างของลูกจ้างที่บาดเจ็บทั้ง 3 คนในเรื่องการปฎิบัติตามพ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554,กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2549 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ.2551 ซึ่งนายจ้างจะนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเพิ่มเติมอีกครั้งในวันที่ 9 ต.ค.นี้
นอกจากนี้กสร.ได้ประสานกรมทางหลวงชนบทเพื่อขอข้อมูลประกอบการดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายด้วย หากพบว่านายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้องจะดำเนินการตามกฎหมายทันที ซึ่งความผิดตามพ.ร.บ.ความปลอดภัยฯและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องดังกล่าวมีอัตราโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ .-สำนักข่าวไทย