กรุงเทพฯ 26 ก.ย.-หลังจากสำนักข่าวไทย อสมท เปิดประเด็นคดีพ่อค้าขายไก่ทอดตกเป็นแพะ วันนี้ศาลอาญาธนบุรีพิพากษายกฟ้องพ่อค้าขายไก่ทอดชาวนครพนม ผู้ต้องหาในคดีวิ่งราวเพชรมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ในท้องที่ สน.บางเสาธง โดยศาลเห็นว่ารูปพรรณสัณฐานคนร้ายไม่ตรงกับจำเลย และตำรวจสืบสวนสอบสวนไม่สิ้นกระแสความ
การต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมของนายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ พ่อค้าขายไก่ทอด ชาวนครพนม จำเลยในคดีร่วมกันชิงทรัพย์ มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท และทำให้เขาถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำธนบุรีนาน 7 เดือน สิ้นสุดลงในวันนี้ เมื่อศาลอาญาธนบุรีนัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานสอบสวน สน.บางเสาธง รวบรวมพยานหลักฐานจากการที่ผู้เสียหายแจ้งความว่าถูกชิงเพชร
โดยศาลพิพากษายกฟ้อง มีสาระสำคัญโดยสรุปว่า เนื่องจากรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายไม่ตรงกับจำเลย การสอบสวนของตำรวจทำไม่สิ้นกระแสความ และให้ออกหมายปล่อยตัวในเย็นวันนี้
ในคดีนี้ศาลเห็นว่า การเบิกความเรื่องรูปพรรณสัณฐานคนร้าย ทั้งจากพยาน 2 คน ซึ่งเป็นผู้ค้าเพชร ที่อ้างว่าเคยพบเห็นคนร้าย ยืนยันว่า นายพิสิษฐ์ ไม่ใช่คนร้ายตัวจริง ส่วนพยานซึ่งเป็นผู้ดูแลบ้านที่เกิดเหตุ ก็ให้การเรื่องรูปพรรณสันฐานกลับไปกลับมา ศาลจึงไม่รับฟังคำสืบพยาน และตำรวจไม่ได้ตรวจลายนิ้วมือแฝงที่ปรากฏอยู่ในที่เกิดเหตุ
ขณะที่เบอร์โทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ติดต่อกับเจ้าของเพชร เพื่อนัดแนะการซื้อขาย แม้ตำรวจจะตรวจสอบพบว่าเป็นชื่อนายพิสิษฐ์ เป็นผู้เปิดลงทะเบียนจริง แต่หลักฐานที่ใช้ยืนยันตัวตนกลับเป็นสำเนาบัตรประชาชน ซึ่งตามระเบียบของ กสทช.ต้องใช้บัตรตัวจริงเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ครอบครัวนายพิสิษฐ์ ร้องเรียนกับสำนักข่าวไทย และยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงของทีมข่าว ในวันที่เกิดเหตุวิ่งราวเพชรในกรุงเทพฯ หมู่บ้านพื้นที่ สน.บางเสาธง นายพิสิษฐ์ ป่วยโรคกระเพาะ และมีพยานหลักฐานยืนยันสถานที่ว่า เขาอยู่ที่นครพนมเวลานั้น เช่น ใบรับรองแพทย์ และพยานบุคคล เช่น เพื่อนบ้าน ลูกค้า และผู้ที่รักษาเขา
รองปลัดกระทรวงยุติธรรมให้สัมภาษณ์หลังศาลพิพากษายกฟ้องว่า การทำงานของตำรวจมีการสอบสวนไม่สิ้นกระแสความ จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาผิดตัว
การตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ยังพบว่า การวิ่งราวเพชรมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทในครั้งนี้ คนร้ายตัวจริงมีการทำเป็นขบวนการ สร้างเรื่องอำพราง ปลอมแปลงเอกสารของผู้อื่น เพื่อนำไปลงทะเบียนเปิดใช้เบอร์โทรศัพท์ หลอกลวงเอาทรัพย์ของผู้ค้าเพชร พลอย และยังจับตัวผู้กระทำผิดตัวจริงไม่ได้ นอกจากนี้ คณะทำงานกระทรวงยุติธรรมยังตั้งข้อสังเกตว่า การที่พนักงานสอบสวนไม่สืบสวน สอบสวนให้สิ้นกระแสความ โดยเฉพาะการใช้โทรศัพท์ของกลุ่มผู้กระทำความผิด ก็อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาด และทำให้คนบริสุทธิ์ต้องตกเป็นจำเลย จึงอยากให้คดีนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างให้พนักงานสอบสวนทำงานให้รอบคอบ.-สำนักข่าวไทย
ฟังเต็มๆ! เปิดใจแพะคดีวิ่งราวเพชร 15 ล้าน กราบเท้าแม่ ล้างมลทิน ติดคุกฟรี 7 เดือน!