กรมสุขภาพจิต 21 ส.ค.-อธิบดีกรมสุขภาพจิต เผยรอบ 10 เดือนปีนี้ ผู้ป่วยโรคจิตเภทเข้าถึงบริการรักษากว่า 5แสนคนทั่วประเทศ แต่ยังพบปัญหาอาการป่วยกำเริบซ้ำบ่อยจากการกินยาไม่สม่ำเสมอสูง เหตุจากความไม่มั่นใจคุณภาพยาที่ได้รับ เพราะสียาไม่เหมือนเดิมจึงไม่กิน ยืนยัน รพ.ทุกแห่งใช้ยามาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ย้ำแม้จะต่างสีแต่เป็นยาขนานเดียวกัน ประสิทธิภาพเหมือนกัน ขอให้ญาติ-ผู้ป่วยมั่นใจ กินต่อเนื่อง อย่าขาดยา
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตและคณะตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ และศูนย์สุขภาพจิตที่ 3 จ.นครสวรรค์ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานการจัดบริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยจิตเวช และการส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตใน5 จังหวัดที่อยู่ในเขตสุขภาพที่3ประจำปีงบประมาณ 2560 ได้แก่ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท กำแพงเพชร และพิจิตร ประชาชนประมาณ 5 ล้านคน
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในปีงบฯ 2560นี้ กรมเร่งขยายบริการด้านสุขภาพจิตเพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้มีอาการป่วยทางจิตเวช โดยเฉพาะโรคจิตเภท (Schizophrenia) ให้ได้ร้อยละ 65 ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งพบอัตราป่วยร้อยละ1ของประชากร คาดทั่วประเทศมีประมาณ 650,000 คน โรคนี้มีอาการผิดปกติทางความคิด มีพฤติกรรมการรับรู้และอารมณ์ที่ผิดไปจากคนทั่วไป เช่น คิดว่ามีคนจะมาทำร้าย ระแวงว่าจะถูกวางยาพิษ มองเห็นวิญญาณ หูแว่ว ส่วนใหญ่จะเริ่มเป็นในช่วงปลายวัยรุ่นตั้งแต่อายุประมาณ 16-18 ปี แต่ขณะนี้มีรายงานพบได้อายุน้อยลงคือ 10 ปี เป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถดำเนินชีวิตประจำวันเท่ากับผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตทั้งตัวตั้งแต่คอลงไป ซึ่งผลการดำเนินการของสถานพยาบาลในเขตสุขภาพที่3 พบว่าผู้ป่วยเข้าถึงบริการร้อยละ 68 จำนวน 33,647 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ถึงร้อยละ 11 ในภาพรวมของประเทศขณะนี้นับว่าดีขึ้นมาก ในรอบ10 เดือนปีงบประมาณนี้ มีผู้ป่วยจิตเภทเข้าถึงบริการจำนวน 570,000 กว่าคน
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโรคจิตเภทประมาณร้อยละ 90 จะมีอาการกำเริบซ้ำ ได้บ่อย สาเหตุกว่าร้อยละ 50 เกิดมาจากการขาดยาซึ่งเป็นหัวใจหลักของการรักษาโรค ผู้ป่วยแต่ละคนจะได้รับยาประมาณ 3-4 ขนาน สาเหตุที่ผู้ป่วยกินยาไม่สม่ำเสมอ ส่วนหนึ่งเกิดจากการไม่เชื่อมั่นในคุณภาพยา โดยเฉพาะสีของเม็ดยาที่ได้รับไม่เหมือนเดิม จึงไม่กินยาต่อ โดยที่รพ.จิตเวชนครสวรรค์ฯพบปัญหานี้ร้อยละ 45
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวยืนยันความมั่นใจผู้ป่วยและญาติว่า ยารักษาโรคจิตเภทที่โรงพยาบาลทั่วประเทศใช้ขณะนี้คือยาขนานเดียวกัน แต่อาจมีสีไม่เหมือนกันเพราะผลิตมาจากแหล่งผลิตต่างกัน แต่ยามีประสิทธิภาพเหมือนกัน จึงไม่ควรยึดติดกับสีเม็ดยาขอให้ผู้ป่วยกินยาที่แพทย์จ่ายให้อย่างต่อเนื่อง ห้ามหยุดหรือลดยาเองอย่างเด็ดขาด เนื่องจากฤทธิ์ของยาจะไปปรับการทำงานของสารสื่อประสาทในสมองให้สมดุลจะรักษาอาการประสาทหลอนและอาการหลงผิดให้หาย อาการจะไม่กำเริบ สามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำงานประกอบอาชีพได้
ทั้งนี้ มอบหมายให้โรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ฯ เร่งพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยโรคจิตเภทและเป็นศูนย์ความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะของกรม เพื่อถ่ายทอดวิชาการเทคโนโลยีความก้าวหน้าลงสู่โรงพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยในประเทศให้ดียิ่งขึ้น” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว .-สำนักข่าวไทย