สกศ.17 ส.ค.-นักวิชาการด้านการศึกษากว่า 200 คน ร่วมวางทิศทางการปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ อธิการสจล.ชี้ไทยไม่วางเป้าหมายพัฒนาเด็กชัดเจน ด้านอดีตประธานผู้ตรวจเงินแผ่นดินแนะการศึกษาภาคบังคับควรมีแค่ 9 ปี ขณะที่ประธานอนุกรรมการกองทุน เร่งเดินหน้าสำรวจความเห็นตั้งกองทุนการศึกษา คาดร่างกม.แล้วเสร็จต.ค.นี้
ศ.กิตติคุณ นพ.จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา เป็นประธานการประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง “ข้อเสนอประเด็นการปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการระดมความเห็นก่อนไปร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษา โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิเเละนักวิชาการเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ซึ่งเริ่มต้นให้คณะอนุกรรมการทั้ง 5 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการเด็กเล็ก /คณะอนุกรรมการกองทุน /คณะอนุกรรมการครูและอาจารย์ / คณะกรรมการจัดการเรียนการสอนเเละคณะอนุกรรมการปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา นำเสนอกรอบการดำเนินงานและประเด็นการรับฟังความคิดเห็น ก่อนจะเปิดพื้นที่ให้ผู้ทรงคุณวุฒิได้นำเสนอความเห็นและแบ่งกลุ่ม
ระดมความคิดเห็นออกเป็น 5 กลุ่มตามคณะอนุกรรมการ ซึ่งจะนำความเห็นต่างๆที่ได้เป็นเเกนหลักในการร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เเละเสนอเเนะต่อคณะรัฐมนตรี ในการกำหนดเเนวทางเเละหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนทุกระดับเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
ศ.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานที่ประชุมอธิการบดีเเห่งประเทศไทยและอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ได้วางเป้าหมายการผลิตและพัฒนาเด็กที่ชัดเจน ทั้งเด็กที่อยู่ในระบบการศึกษามีจำนวนน้อยลง แต่จำนวนโรงเรียนนานาชาติ กลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 /นโยบายต่างๆเกิดขึ้นตามกระแสนิยมและอาจไม่ต่อเนื่อง ประเทศไทยต้องกล้าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ทำฐานข้อมูลติดตามเด็กทุกคนและใช้จัดการศึกษาที่หลากหลาย
ด้านศ.ศรีราชา วศารยางค์กูร อดีตประธานผู้ตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า ต้องสอนให้เด็กเป็นคนดี ซื่อสัตย์และสุจริตตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ส่งเสริมให้มีพี่เลี้ยงเด็กที่สามารถกระตุ้นการเรียนรู้ได้ และตนมองว่าการศึกษาภาคบังคับควรมีแค่ 9 ปี เพราะจะนำงบประมาณที่เหลือไปดูแลเด็กได้อย่างเต็มที่ ช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และการเรียนการสอนไม่ควรอัดแน่น 8 สาระวิชาและไม่ควรเน้นวิชาการมากเกินไป
ขณะที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานอนุกรรมการกองทุน กล่าวว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาถือเป็นปัญหาใหญ่ เด็กยากจนและขาดสารอาหารมีจำนวนมาก จึงแนวคิดที่จะตั้งกองทุนการศึกษา ให้ทุกคนได้เข้าถึง โดยหัวใจสำคัญคือเงินจะไม่ใช่อุปสรรคในการเรียนอีกต่อไป วันนี้จึงอยากแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นต่างๆ อาทิ กระบวนการช่วยเหลือควรเป็นอย่างไร การจัดการเงินหรือทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดควรไปที่กลุ่มใดก่อนอย่างจำเป็นเร่งด่วนที่สุด หรือวิธีการ หากเงินทุนเข้าไปที่โรงเรียน นักเรียนอาจจะได้ไม่ไม่ทั่วถึง ส่วนกองทุนสำหรับครูควรเสริมเรื่องใด เป็นต้น ซึ่งหลังจากนี้จะรวบรวมความคิดเห็นต่างๆ และลงพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็นทั้ง 4 ภาค ก่อนไปร่างกฎหมายซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้.-สำนักข่าวไทย