กรุงเทพฯ
27 มิ.ย.-วงสัมมนาผู้เชี่ยวชาญไฟฟ้าในเอเชีย ยังยกให้ “ถ่านหิน”เป็นเชื้อเพลิงหลักผลิตไฟฟ้าในอนาคต
ตอบโจทย์ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ- มั่นคง-และจัดการด้านสิ่งแวดล้อมได้
นายทวารัฐ
สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน
เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ สนพ.ได้จัดสัมมนา Create a Better Social Acceptance
for Electric Power Infrastructure Coal-fired Power Plant โดยจัดรับฟังแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานที่เข้าร่วมในงานสัมมนาจาก
4 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ พบว่าแผนการพัฒนาพลังงานของทุกๆ
ประเทศไม่ได้มีความแตกต่างจากประเทศไทย
ในแง่ของการให้ความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของการพัฒนาใน 3 มิติ หรือ 3 E ได้แก่ 1.มิติด้านความมั่นคงพลังงาน (Energy Security) 2.มิติด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economy) และ
3.มิติด้านการดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อม (Environment) โดยการเลือกเชื้อเพลิงก็ต้องสะท้อนปัจจัยดังกล่าว
นายประเสริฐ
สินสุขประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
กล่าวว่า จากรายงานการศึกษาที่จัดทำโดย สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) สหรัฐอเมริกา ระบุว่า การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 7-8
ล้านล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี พ.ศ.2555 จะเป็น 10 ล้านล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ในปี พ.ศ. 2583 เนื่องจากทั่วโลกยังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงจะพบว่า
สัดส่วนของถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าจะลดลงจาก 40% เป็น 29% ในช่วงเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าโดยมีถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงของประเทศจีนและประเทศอินเดียยังคงผลิตผลิตไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินไม่ได้ต่างจากปัจจุบัน
ด้านนายชิเกรุ
คิมูระ ที่ปรึกษาพิเศษของผู้อำนวยการ กิจการด้านพลังงาน Economic Research Institute for
ASEAN and East Asia : ERIA ซึ่งเป็นสถาบันระหว่างประเทศ
ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นและอาเซียน กล่าวว่า
แต่ละประเทศมีความจำเป็นทางด้านพลังงานที่แตกต่างกัน อาทิเช่น นิวซีแลนด์
อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากนัก เนื่องจากมีแหล่งพลังงานทดแทนชนิดที่พึ่งพาได้
(Firm RE) คือ พลังน้ำ และพลังความร้อนใต้พิภพ
“ไทยและอาเซียนประเทศอื่นๆ
อาจจะไม่โชคดีเหมือนนิวซีแลนด์ที่มีแหล่งพลังงานทดแทนที่พึ่งพาได้มากนัก จึงยังจำเป็นต้องมีการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าหลักที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
เช่น ถ่านหิน เพิ่มขึ้น” นายคิมูระกล่า
ดร.เอรี่
พราโบโว ผู้อำนวยการส่วนปฏิบัติการที่ 1 บริษัท พีที อินโดนีเซีย พาวเวอร์ กล่าวว่า
อินโดนีเซียมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มมากกว่า 10,000 เมกะวัตต์ในช่วง 4-5
ปีข้างหน้า เนื่องจากมีถ่านหินในประเทศเป็นจำนวนมาก และเป็นโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำกว่าโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ
ซึ่งใช้งบประมาณในการก่อสร้างมหาศาลและบางประเภท เช่น
โรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ใช้เวลานานในการพัฒนา
นายเอ็ดการ์โด
ครูซ ประธานกลุ่มผู้ใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินประเทศฟิลิปปินส์ (Philippine
Coal Plant User’s Group) เปิดเผยว่า
ฟิลิปินส์มีโครงการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินจาก 7,300
เมกะวัตต์ในปัจจุบันเป็นกว่า 17,000 เมกะวัตต์ภายในอนาคต
นายวู
เวียง ดุง รองผู้อำนวยการศูนย์วิศวกรรมพลังงานนิวเคลียร์และพลังงานความร้อน Power
Engineering Consulting Joint Stock Company 2 ประเทศเวียดนาม
กล่าวว่า อีก 10 ข้างหน้า โรงไฟฟ้าถ่านหิน จะยังคงสัดส่วนในการผลิตไฟฟ้าที่สำคัญมากขึ้นในเวียดนามต่อไป
–สำนักข่าวไทย