สบส.27เม.ย.-กรมสบส.แนะสถานพยาบาลที่ให้บริการช่วยการเจริญพันธุ์ ทางการแพทย์ทั้ง 70 แห่งทั่วประเทศ ยึดหลัก “8 ห้าม 3 มี 3 ขอ” เป็นหลักปฏิบัติช่วยคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยากให้สามารถมีบุตรตามหวัง ป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย ทั้งการซื้อ ขาย นำเข้า ส่งออก อสุจิ ไข่ ตัวอ่อน หรือเป็นนายหน้า
นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร โฆษกกรมสนับสุนนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแพทย์ที่มีความสามารถและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้อัตราความสำเร็จจากการรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ค่อนข้างสูง และขณะนี้มีสถานพยาบาลที่ให้บริการด้านนี้ 70 แห่งทั่วประเทศ ชาวต่างประเทศ ทั้งจีน อิสราเอล ออสเตรเลีย และอเมริกา ฯลฯ ต่างให้การยอมรับ และเดินทางเข้ามารับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ กับแพทย์และสถานพยาบาลของไทยอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อช่วยให้คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีบุตรยากได้มีบุตรตามต้องการโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และกำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็ก ตลอดจนควบคุมการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ มิให้มีการนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงร่วมตรากฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ขึ้น โดยมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. 2558
นพ.ธงชัย กล่าวต่อว่า เพื่อให้การรักษาแก่สามีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายและมีบุตรยาก โดยไม่มีการแสวงประโยชน์ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายฉบับนี้ขอให้สถานพยาบาลทุกแห่งยึดหลัก เกณฑ์ของกฎหมายอุ้มบุญ ด้วยหลักการง่ายๆ คือ “8 ห้าม 3 มี 3 ขอ” ก่อนดำเนินการใดๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีฯ ดังนี้ 8 ห้าม
ได้แก่ 1)ห้ามเลือกเพศ 2)ห้ามซื้อ ขาย นำเข้า ส่งออก ไข่/อสุจิ/ตัวอ่อน 3)ห้ามรับจ้างตั้งท้อง 4)ห้ามโฆษณา 5)ห้ามโคลนนิ่ง 6)ห้ามมีคนกลางหรือเอเจนซี่ 7)ห้ามคู่สมรสต่างชาติทั้งคู่ แต่หากคู่สมรสชาวต่างชาติต้องการคำปรึกษา หรือรับบริการเทคโนโลยีฯ เช่น การทำกิ๊ฟท์ (GIFT) ทำซิฟท์ (ZIFT) ผสมเทียม (IUI) ก็สามารถทำได้ ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมาย และ8)ห้ามปฏิเสธการรับเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน
3 มี ได้แก่ 1)สถานพยาบาลที่ให้บริการเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ได้มีการรับรองมาตรฐานตามกฎหมาย 2)มีแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ได้รับการรับรองจากแพทยสภา และ3)มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน
ส่วน 3 ขอ ได้แก่ 1)ต้องขออนุญาตเปิดเป็นสถานพยาบาลที่ให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายกับกรม สบส. 2)ขออนุญาตให้มีการตั้งครรภ์แทนเป็นรายคู่จากคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (กคทพ.) ซึ่งอนุญาตเฉพาะคู่สมรสไทยที่สมรสถูกต้องตามกฎหมาย หรือคนไทยที่สมรสกับต่างชาติและจดทะเบียนสมรสมาแล้วอย่างน้อย 3 ปีเท่านั้น และ3)ขออนุญาตให้มีการวิจัยตัวอ่อนที่เหลือใช้จากการบำบัด รักษาภาวะมีบุตรยากของสามี และภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายจาก กคทพ. ทุกครั้ง
ด้าน ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กล่าวว่า สถานพยาบาลใดกระทำการซื้อ ขาย นำเข้าหรือส่งออก ซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากกระทำการเป็นนายหน้า ชี้ช่องทางให้มีการรับตั้งครรภ์แทน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากประชาชนพบเห็นการรับจ้างตั้งครรภ์,ซื้อ ขาย นำเข้า หรือส่งออก ไข่ อสุจิ ตัวอ่อน,คนกลางชี้ช่องทางให้มีการอุ้มบุญ สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน สบส.02193 7999 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากมีข้อสงสัย ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่กลุ่มคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ กรมสบส.หมายเลขโทรศัพท์ 02-193-7000 ต่อ 18418 หรือ 18419 .-สำนักข่าวไทย