กรุงเทพฯ 21 เม.ย.- สบส.ตรวจคลินิกลักลอบขายน้ำอสุจิย่านปทุมวัน พบมีมาตรฐานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ปี58 ส่วนกรณีมีการลักลอบขายอสุจิหรือไม่ ต้องรอหลักฐานชี้ว่าคลินิกผิดจริง
นพ.ธงชัย คีรติหัถยากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน ตรวจสอบคลินิกเทคโนโลยีวัยเจริญพันธุ์ที่มีการลักลอบขายน้ำเชื้ออสุจิ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง หลังวานนี้ (20 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชายไทยพร้อมของกลางถังไนโตรเจนบรรจุหลอดใส่อสุจิ ไข่และตัวอ่อนแช่แข็งได้ที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว จ.หนองคาย อ้างว่านำไปส่งนายจ้างที่คลินิกเเห่งหนึ่งในเมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยได้รับมอบหมายจากนายจ้างคนดังกล่าวให้ไปรับที่คลินิก 4 แห่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งทำมาเเล้วกว่า 13 ครั้ง
นพ.ธงชัย กล่าวหลังการตรวจสอบว่าคลินิกดังกล่าวเป็นคลินิกเทคโนโลยีวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งมีการเปิดคลินิกถูกต้องมีมาตรฐานในการตรวจดูเเลทั้งส่วนทีมเเพทย์เเละอุปกรณ์การเเพทย์ รวมทั้งได้ตรวจสอบถึงข้อมูลตัวอ่อนหรือใบOPD ของคนไข้ก็ไม่มีความผิดปกติ ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ซึ่งปัจจุบันมีคลินิกในลักษณะนี้ประมาณ 70 แห่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนกรณีการลักลอบซื้อขายอสุจิตามที่เป็นข่าว ทาง สบส.ยังไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ เนื่องจากหลักฐานยังไม่ชี้ชัดว่าคลินิกผิดจริง ซึ่งทางคลินิกเอง ก็ได้มีการแจ้งความแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องตามคำกล่าวอ้าง ส่วนอาจจะมีคนในคลินิกลักลอบทำหรือไม่ก็ได้สั่งให้มีการตรวจสอบภายในองค์กรเเล้ว
นพ.ธงชัย กล่าวต่อว่า แม้จะมีกฎหมายออกมารองรับการเก็บอสุจิ ไข่ และตัวอ่อน แต่หากพบว่ามีการนำออกนอกประเทศ ก็ถือว่าผิดกฎหมาย ทั้งนี้มองว่าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ของประเทศไทยมีก้าวหน้ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับประเทศเพื่อนบ้านยังไม่มีกฎหมายควบคุม จึงอาจเป็นช่องโหว่ที่ทำให้มีการลักลอบขนย้ายและซื้อขายอสุจิได้ ซึ่งประเทศที่ใกล้เคียงมีเพียงสิงคโปร์เเละจีนเท่านั้นที่มีกฎหมายอุ้มบุญ อีกทั้งไทยมีกฎหมายอุ้มบุญ จึงมีโอกาสจะมีการลักลอบเอาเชื้อไปทำการอุ้มบุญในต่างประเทศเเทน เเละการดำเนินคดีในต่างประเทศเป็นไปได้ยากเพราะไม่มีกฎหมายรองรับ
ส่วนการดำเนินคดีในกรณีนี้ เเบ่งเป็น 3 ส่วน คือผู้ขนย้าย คนกลาง หรือ เอเจนซี่ เเละสถานที่ทำให้ ผู้ขนย้าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และพ.ร.บ.ศุลกากรในการนำของต้องห้ามออกนอกราชอาณาจักร จำคุก 10 ปี ปรับ 4 เท่าราคาของรวมค่าอากร หรือทั้งจำทั้งปรับ ,เอเจนซี่ ผู้รับซื้อมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องหรือไม่ หากเกี่ยวข้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 1 เเสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนสถานพยาบาล หากผิดจริงจะมีการสั่งปิดสถานพยาบาล
ขณะเดียวกันกรณีเเพทย์เจ้าของคลินิก เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีอุ้มบุญเมื่อหลายปีก่อน เเละคดียังไม่ถึงที่สิ้นสุดนั้น เเต่เเพทย์ยังให้การรักษาคนไข้ได้นั้น ในส่วน สบส.จะดูเรื่องมาตรฐานของสถานพยาบาลเท่านั้น ส่วนเรื่องทางจริยธรรมเเพทย์เป็นการตัดสินของเเพทยสภา ประกอบกับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ บังคับใช้เมื่อปี 2558 เเต่คดีความนั้นเกิดก่อน .-สำนักข่าวไทย