“พล.อ.ประยุทธ์” นำทีมแจงนโยบายโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

รทสช.  26 เม.ย.-“ประยุทธ์”นำทีมแกนนำรวมไทยสร้างชาติ ชี้แจงนโยบายชุดใหญ่ โค้งสุดท้ายมั่นใจเป็นรัฐบาล  หารายได้เข้าประเทศ 4 ล้านล้านบาท ย้ำบุคลากรพรรค มีคุณภาพ คิดนโยบายไม่เกทับใคร ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินทางมาถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อเวลา 13.44 น.  เพื่อเตรียมแถลงข่าว “ประชาชนจะได้อะไรจากนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติ”

โดยการแถลงข่าวนำโดย  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ  นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค นายสุพัฒนพงษ์ พัฒน์มีเชาว์ ที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายจุติ ไกรฤกษ์ นายอนุชา นาคาศัย นายสุชาติ ชมกลิ่น นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรค และ พล.ต.น.พ.เหรียญทอง แน่นหนา ประธานคณะกรรมการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ร่วมแถลงข่าว


พล.อ.ประยุทธ์  กล่าวว่า นโยบายต่างๆ ต้องเป็นไปตามสิ่งที่ทำมาแล้ว หลายอย่างทำมาแล้ว บางอย่างกำลังทำอยู่ ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติทำงานอย่างมีระบบ มีวิธีคิด ภาคส่วนทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ขอเริ่มต้นวิสัยทัศน์ ด้วยคำว่า “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน”  ซึ่งอยากให้นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นพรรคหลัก เพราะหากเข้ามาในสภาได้มาก ก็จะได้สานต่อนโยบาย

ทั้งนี้พรรคเสนอนโยบายที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่พร้อมนำพาประเทศไปข้างหน้า และช่วยแบ่งปัญหาและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ชีวิตให้ประชาชน  เพื่อที่จะช่วยลดความเหลื่มล้ำ สร้างสังคมที่เท่าเทียมให้เกิดขึ้นในประเทศ  พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่พรรคที่มีแต่คนอายุเยอะ เรามีคนทุกช่วงวัย เรากำลังดูแลคนทั่วไป

โดยนโยบายสำคัญประกอบด้วย การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมเท่าเทียม ด้วยการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยปีละ 4 ล้านล้านบาท ให้เศรษฐกิจโตปีละ 5 % รายได้ต่อคนเพิ่มขึ้นปีละ 2 หมื่นบาท สร้างงานเพิ่ม 6.25 แสนตำแหน่ง เพิ่มศักยภาพประเทศด้วยการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี และระเบียงเศรษฐกิจใหม่ 4 ภาค เป็นศูนย์กลางภูมิภาคประตูสู่อาเซียนและจีนตอนใต้


พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นโยบายจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้วยการใช้ไฟฟ้าราคาถูก ต่อเนื่องโครงการคนละครึ่งภาค 2 เที่ยวด้วยกันเมืองรองภาค 2 เพิ่มเงินสมทบให้แรงงานในระบบประกันสังคม  มีรายได้ไม่ต่ำกว่าคนละ 1 หมื่นบาทต่อเดือน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากช่วยเหลือเกษตรกรและชาวประมง ด้วยการนำเข้านำมันสำเร็จรูปเสรี เพื่อลดราคาน้ำมัน โครงการโคล้านครอบครัว เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ช่วยค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ 2 พันบาทไม่เกิน 5 ไร่ มีปุ๋ยไฟฟ้าน้ำมันราคาถูกให้กับเกษตรกร แก้กฎหมายประมง ดูแลประมงพื้นบ้าน ขยายเทคโนโลยีดิจิทัล เน็ตประชารัฐ พร้อมเพย์ เป๋าตังถุงเงิน อีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายแก้หนี้ ด้วยแก้แช่แข็งหนี้ สูงสุด 3 ปี ตามเงื่อนไขโครงการ แก้กฎหมายเครดิตบูโร ให้ความเป็นธรรมลูกหนี้ แก้หนี้นอกระบบ ด้วยกองทุนฉุกเฉินประชาชน วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท ให้ประชาชนแก้หนี้นอกระบบ ให้สมาชิกสหกรณ์ใช้หุ้นสหกรณ์ชำระหนี้ได้ แก้หนี้โควิดจบใน 12 เดือน แก้หนี้กยศ.กองทุนหมู่บ้านด้วยงานเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข 1 อำเภอ 1 โรงพยาบาลวิสาหกิจเพื่อสังคม 1 ศูนย์ผู้สูงอายุคนพิการ ผู้ป่วยระยะสุดท้าย นโยบายลดค่าครองชีพประกอบด้วย โครงการแท็กซี่เพื่อสังคม หักลดหย่อนภาษี ค่ารักษาพยาบาล ตนเองและพ่อแม่ สูงสุด 6 หมื่นบาท ออมเงินพร้อมหักลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน LTF ลดฝุ่น PM.2.5ด้วยการตั้งศูนย์บัญชาการแก้ปัญหาแบบ Single Command รวม PM.2.5 เพิ่มรถเมล์ไฟฟ้า รถอีวี ใช่พลังงานสะอาด 50%

นอกจากนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดนโยบายด้านแรงงาน โดยเฉพาะ ภายใต้แนวคิด คิด เพิ่ม สร้าง ประกอบด้วย คืนเงินสะสมชราภาพ ผู้ประกันตนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ให้แก่แรงงานสูงสุด 30% เพิ่มสิทธิด้านเงินดูแลบุตรให้แก่ผู้ประกันตน 1 พันบาทตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 10 ปี เงินบำนาญชราภาพ 1 หมื่นบาท อายุ 55 ปี เพิ่มความมั่นคงหลังเกษียณ สร้างโรงพยาบาลประกันสังคม เพื่อผู้ใช้แรงงานให้เข้าถึงการบริการที่เท่าเทียมและทั่วถึง

“พีระพันธุ์” ยัน รทสช.ไม่คิดนโยบายเกทับพรรคอื่น

ขณะที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า  พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคที่เกิดขึ้นมาใหม่  แต่เป็นพรรคที่มีคุณภาพเพราะบุคลากรของพรรค มีความรู้ มีประสบการณ์ทุกด้าน ทั้งด้านการเมืองและด้านวิชาการ การที่เป็นพรรคการเมือง สิ่งที่คำนึงถึงมากที่สุด คือเรื่องของวุฒิภาวะและความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่ใช่คิดแค่นโยบายที่จะได้คะแนนเสียง หรือเกทับพรรคการเมืองด้วยกัน แต่ต้องไปนโยบายที่สะท้อนถึงปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า นโยบายบัตรสวัสดิการพลัสให้เงิน 1 พันบาทต่อเดือน ทำต่อโครงการคนละครึ่งภาค 2 เดินหน้าเราเที่ยวด้วยกัน นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2559 เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยมีประชาชนได้รับสิทธิถึง 14.6 ล้านคน พรรครวมไทยสร้างชาติจะนำนโยบายนี้มาทำต่อเป็นโครงการบัตรสวัสดิการพลัส โดยโครงการนี้จะจ่ายให้พี่น้องประชาชน 1,000 บาทต่อเดือน ที่สำคัญคือประชาชนสามารถใช้บัตรนี้ไปกู้เงินฉุกเฉินได้อีก 10,000 บาท ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ส่วนโครงการคนละครึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนคิดขึ้นมาเอง ซึ่งทั้ง 5 เฟส มีประชาชนเข้าร่วมถึง 26 ล้านคน มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึง 4 แสนล้านบาท รัฐบาลใช้เงินไป 2 แสนล้านบาท ประชาชนออกประชาชนออกเงินเอง 2 แสนล้านบาท  พรรคจะนำมาทำต่อโดยจะทำโครงการคนละครึ่ง ภาค 2 โดยมีแอพเป๋าตัง ซึ่งเป็นรัฐบาลเดียวที่คิดเรื่องนี้มาก่อน ประชาชน 26 ล้านคน สามารถใช้แอพเป๋าตังได้ และมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการเกือบ 2 ล้านราย

สำหรับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งประเทศไทยสามารถเปิดประเทศได้เร็วกว่าประเทศอื่น ในด้านการท่องเที่ยวในปี 2565 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 11,000,000 คน ในปี 2566  ตั้งเป้านักท่องเที่ยวเข้าประเทศ  27,500,000 คน จะมีเงินเข้าประเทศถึง 2.3 ล้านล้านบาท ซึ่งนี่คือการหาเงินเข้าประเทศด้วย

นอกจากนั้นการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ด้วยการตั้งศูนย์บัญชาการแก้ปัญหามลภาวะเป็นพิษแบบ Single Command รวม PM 2.5 โครงการเพิ่มรถเมล์ไฟฟ้า โครการส่งเสริมรถอีวี ใช้มาตรฐานยูโร 5 กับรถใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 และโครงการเพิ่มการใช้พลังสะอาด 50% ทั้งนี้ ยังมีนโยบายสร้างโอกาสให้คนตัวเล็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งโครงการเน็ตประชารัฐ พร้อมเพย์ แอปเป๋าตัง แอปถุงเงิน แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบคลาวด์ ลดหย่อนภาษี ค่ารักษาพยาบาลตัวเองและพ่อแม่รวมสูงสุด 60,000 บาท

“สุพัฒนพงษ์” ยันพรรคทำต่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ พัฒน์มีเชาว์ ที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจ กล่าวว่า นโยบายหาเงินเข้าประเทศ 4 ล้านล้านบาท ต่อยอดไอเดีย EEC  เพิ่มระเบียงเศรษฐกิจอีก 4 ภาค นโยบายหาเงินเข้าประเทศ 4 ล้านล้านบาท มาจากนโยบาย “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ในส่วนของการ ทำแล้ว คือ การลงทุนในด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน 3 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีการคมนาคม ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ ที่สมบูรณ์สามารถลดค่าขนส่งสินค้าภายในประเทศ และที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ ได้เป็นอย่างดีมาก ในส่วนของที่ทำแล้วยังมีเรื่องของโครงสร้างดิจิทัลที่สมบูรณ์ ที่ได้ช่วยเยียวยาประชาชนผ่านแอพเป๋าตัง และโครงการคนละครึ่ง ซึ่งไปถึงประชากรมากกว่า 45 ล้านคนที่ได้ประโยชน์

นอกจากนี้ ยังมีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นดิจิทัล หรือระบบกายภาพที่สมบูรณ์ที่รัฐบาลได้ไปปักธงที่ต่างประเทศว่า ประเทศไทยจะลดคาร์บอนให้เหลือ 0% ภายในปี 2050  และไทยจะเป็นประเทศที่ไม่มีคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานของอุตสาหกรรมใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด มีการปรับเลี่ยนมาใช้รถ EV ซึ่งรายได้ของประเทศไทยเรา ณ วันนี้ที่ได้จากอุตสาหกรรมรถยนต์ประมาณ 15% ก็จะรักษาไว้ได้แล้วแถมจะต่อยอดออกไปอีก

สำหรับธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอีก 15% ของผลผลิตมวลรวมประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของไมโครชิพ เรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมใหม่ที่จะหารายได้เข้าประเทศ  ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะมาจากเศรษฐกิจในประเทศที่เราขับเคลื่อนอยู่ ซึ่งก็คือเศรษฐกิจ BCG ( เศรษฐกิจทฤษฎีใหม่ที่ผสมผสานการพัฒนา 3 ด้านหลัก คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว) โดยจะขยายแนวคิดของ BCG ให้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ นอกจากนี้จะต่อยอดไอเดียของ EEC คือระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ซึ่งจะทำให้ครอบคลุมทั้งประเทศ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางประตู่สู่อาเซียนและจีนตอนใต้

ในส่วนของการท่องเที่ยว ได้ออกวีซ่าระยะยาว 10 ปี เพื่อเชื้อเชิญชาวต่างชาติที่มีศักยภาพให้มาลงทุน ให้มากินอยู่ และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับคนไทย ส่วนนี้ก็จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่จะเอาเข้ามาในประเทศ ซึ่งการท่องเที่ยวระยะยาวประเทศไทยเราพร้อมมากกับการสร้างรายได้ให้ประเทศชาติเพิ่มเติม และเป็นการเพิ่มองค์ความรู้ให้กับคนไทย เพิ่มโอกาสของประเทศในการค้าขาย และก็เพิ่มโอกาสของประเทศในการเข้าสู้เวทีโลกอีกด้วย ทั้งนี้การเพิ่มรายได้ให้ประเทศปีละ 4 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจโตปีละ 5% รายได้ต่อคนเพิ่มขึ้นปีละ 20,0000 บาท สามารถสร้างงานเพิ่มได้ 6.25 แสนตำแหน่ง

นโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแช่แข็งหนี้สูงสุด 3 ปี แก้กฎหมายเครดิตบูโรให้ความเป็นธรรมแก่ลูกหนี้ และตั้งกองทุนฉุกเฉินประชาชน 3 หมื่นล้าน หนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาที่สะสมมานาน นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติเราจะให้ความสำคัญกับเรื่องหนี้ ประกอบด้วย แช่แข็งหนี้สูงสุด 3 ปีตามเงื่อนไขโครงการ แก้กฎหมายเครดิตบูโรให้ความเป็นธรรมแก่ลูกหนี้ แก้หนี้นอกระบบและมีที่พึ่งยามยากด้วยกองทุนฉุกเฉินประชาชน 3 หมื่นล้านเพื่อปลดพันธนาการเงินนอกระบบ สมาชิกสหกรณ์สามารถใช้หุ้นสหกรณ์ชำระหนี้สหกรณ์ได้และใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ข้ามเขตสหกรณ์ได้ แก้หนี้โควิดจบใน 12 เดือน แก้หนี้กยศ. แก้หนี้กองทุนหมู่บ้าน และหนี้ภาครัฐด้วยงาน

สำหรับในเรื่องของ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ผู้ที่เป็นหนี้และผู้ค้ำประกัน กยศ. ปัจจุบัน 6,800,000 ราย ได้รับการแก้ไขกลับสู่สภาพปกติแล้ว ในส่วนของเรื่อง พ.ร.บ.ทวงหนี้ ปัจจุบันได้กำหนดเพดานในหลักพันบาท ไม่ว่าเรื่องสินเชื่อเช่าซื้อที่มีประชาชนเป็นลูกหนี้กว่า 20 ล้านราย จะมีธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง เป็นผู้กำกับดูแล ส่วนสหกรณ์ออมทรัพย์ของข้าราชการครู หรือข้าราชการอื่นๆ ดอกเบี้ยจะลดลงเพื่อให้พวกเขาเหล่านี้มีเงินเหลือไม่ต่ำกว่า 30 % ส่วนหนี้สินที่เกิดจากกรณีโควิด-19 ซึ่งไม่ได้เกิดจากความผิดของประชาชน แต่เกิดจากเหตุการณ์โรคระบาดส่วนนี้จะแก้ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี โดยผู้กู้กว่า 3,000,000 รายก็จะได้รับการดูแล

นอกจากนี้ จะมีการแก้ไขกฏหมายเพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม หรือ กบข. สามารถนำเงินสมทบ 30% ออกมาใช้ได้ก่อนเพื่อลดภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงๆ และเพื่อใช้ในยามจำเป็นและฉุกเฉิน รวมถึงการรื้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำกิน เช่น แก้กฎหมายได้ที่ทำกินโดยไม่ถูกไล่ที่ไม่ถูกฟ้อง และ พ.ร.บ.ความสะดวกลดขั้นตอนทางกฎหมาย 1,100 ขั้นตอน

“จุติ” พร้อมนโยบายดูแลกลุ่มเปราะบางทางสังคมอย่างเป็นระบบ

นายจุติ ไกรฤกษ์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า พรรคได้มีนโยบาย ดูแล ผู้สูงอายุ คนพิการ ที่มีที่พักอาศัยไม่เหมาะสม ก็ได้ไปซ่อมแซมให้มีความเหมาะสม 180,000 ครอบครัว และยังทำต่อเนื่องทุก ๆ ปี พร้อมยังได้หาที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด กับโครงการบ้านเช่า เดือนละ 999 บาท ครอบคลุม 13,000 ครอบครัว และขณะนี้มีโครงการที่อยู่ในขั้นตอนก่อสร้างและในอนาคตจะทำให้ครบ 100,000 หลัง ในส่วนของแม่และเด็กอ่อนได้ดูแลเด็กแรกเกิดให้ได้รับการช่วยเหลือค่านมเดือนละ 600 บาท เพื่อให้เด็กอ่อนมีการพัฒนาการที่เหมาะสม

สำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัย จะต่อยอดโครงการ “บ้านสุขประชา” เพื่อให้ประชาชนมีบ้านและมีงานทำ มีโครงการสินเชื่อบ้านล้านหลังสำหรับผู้มีรายได้น้อย เฟส 3   ทำโครงการบ้านมั่นคง ริมคลองเปรมประชากร และฟื้นฟูแฟลตดินแดง เฟส 2

ส่วนของปัญหาสังคมได้จัดให้มีศูนย์ช่วยเหลือประจำตำบลและชุมชนทั่วประเทศกว่า 7,000 ศูนย์ ด้วยการบูรณการทุกกระทรวงในรูปแบบของแอปพลิเคชั่นแจ้งเหตุ เมื่อมีเหตุสามารถปักหมุดหยุดเหตุ เริ่มดำเนินการไปเมื่อ 1 เมษายน 2566 และจะขยายไปทั่วประเทศ ซึ่งในส่วนนี้สถานีตำรวจ 1,483 แห่ง ร่วมกับศูนย์ชุมชนอีก 7,000 แห่ง ดูแลบริหารกันเองไม่ได้ใช้งบประมาณแม่แต่บาทเดียว ศูนย์นี้เป็นศูนย์ที่ช่วยลดความรุนแรงในครอบครัว และแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชน โดยรัฐบาลได้เข้าไปช่วยสนับสนุนส่งเสริม เพื่อให้เกิดความสงบ และเกิดความเท่าเทียมกันในครอบครัว

ส่วนสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุที่กำลังเกิดขึ้น จะจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ผู้สูงอายุคนพิการและกลุ่มเปราะบางทางสังคมประจำตำบล  อำเภอ จังหวัด ให้เป็นเครือข่ายเป็นระบบที่สามารถปฏิบัติได้จริง ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่พรรครวมไทยสร้างชาติจะทำนโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้ทุนช่วยนักเรียนยากจนได้เรียนหนังสือจนจบมัธยม ช่วยผู้สูงอายุคนพิการมีที่อาศัย ในส่วนนี้ ได้เน้นในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องของเด็กที่มีมากถึง 50% ที่เริ่มต้นเรียน ป. 1 แต่ไม่สามารถจบการศึกษาระดับมัธยมปลายได้เพราะยากจนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ทุนตั้งแต่ปี 2563 – 2566 เป็นเงิน 28,000 ล้านบาท ทำให้เด็กที่ไม่สามารถเรียนต่อจำนวน 3,000,000 คน สามารถมีเงินไปเรียนหนังสือจนจบชั้นมัธยมปลายได้

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายในการสร้างเด็กไทย  ด้วยโครงการ “อยากเรียนอะไรต้องได้เรียน”  และมอบทุนการศึกษาอาชีวะ 100 ทุน ต่อ 1 อำเภอ (เขต)  รวมถึงโครงการ “เรียนจบมีงานทำ”

“สุชาติ” ดันนโยบายแรงงาน สร้างรากฐานความมั่นคง

ขณะที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า พรรคมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ช่วยเหลือเกษตรกรและชาวประมง โครงการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรีเพื่อลดราคาน้ำมัน โครงการลดต้นทุนเกษตรกร ช่วยค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ 2,000 บาทไม่เกิน 5 ไร่ โครงการปุ๋ย ไฟฟ้า น้ำมันราคาถูกสำหรับเกษตรกร แก้กฎหมายประมง ดูแลประมงพื้นบ้าน ปรับการทำงานหน่วยงานของรัฐให้เกิดความเป็นธรรม

นโยบายด้านแรงงาน จัดให้มีโรงพยาบาลประกันสังคม เพื่อความภาคภูมิใจของผู้ใช้แรงงานนโยบายด้านแรงงาน คืนเงินสะสมชราภาพผู้ประกันตน ม. 33 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่แรงงานสูงถึง 30% ช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยผู้ประกันตนสามารถนำเงินสะสมมาใช้ก่อนยามจำเป็น ซึ่งเงินในส่วนนี้ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน แต่เป็นเงินของกองทุนประกันสังคม พร้อมทั้งเพิ่มเงินชราภาพ อายุ 55 ปี เป็น 10,000 บาท เพิ่มสิทธิด้านเงินดูแลบุตรให้แก่ผู้ประกันตนสูงถึง 1,000 บาท ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 10 ปี ให้เงินเกษียณอายุ 55 ปี 10,000 บาท เพื่อเพิ่มความมั่นคงหลังเกษียณให้มีเงินเพียงพอต่อค่าครองชีพในปัจจุบัน ปีแรก 28,597  ล้านบาท ปีต่อไป เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 20%

รวมทั้งปรับเพิ่มเงินเลี้ยงดูบุตร จากเด็กแรกเกิดจนถึง 10  ขวบ จากเดิม 800 ปรับเป็น 1,000 บาท ผู้ประกันตนมีประมาณ 12 ล้านคน จะเสนอให้มีโรงพยาบาลประกันสังคม เพื่อรักษาดูแลผู้ประกันตนผู้ใช้แรงงานยามเจ็บป่วย ให้เข้าถึงการบริการที่รวดเร็ว เท่าเทียมและทั่วถึง ซึ่งจะเป็นความภาคภูมิใจของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นนโยบายที่คิดไว้ทั้งหมดแล้วเพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป

“อนุชา” แจง นโยบาย“โคเงินล้าน-โคล้านครอบครัว” ปลดหนี้ให้ลูกหลานไทย

นายอนุชา นาคาศัย รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า นโยบาย“โคเงินล้าน-โคล้านครอบครัว” ให้กู้เงินซื้อโคมาเลี้ยงแบบปลอดดอกเบี้ยทำให้คนไทยหลุดพ้นจากความยากจนแบบไม่ขายฝัน นโยบายโคเงินล้าน -โคล้านครอบครัว จะทำให้คนไทยหลุดพ้นจากความยากจน และสามารถเป็นคนรวยได้โดยวิธีง่าย ๆ จากการเลี้ยงโค โดยให้กู้เงินจากกองทุนหมู่บ้านวงเงิน 50,000 บาท นำมาซื้อโคเพศเมีย 2 ตัวไปเลี้ยง

ทั้งนี้ ในปีแรกจะมีโค 4 ตัว ปีที่ 2 กลายเป็นโค 6 ตัว ปีที่ 3 จะกลายเป็นโค 10 ตัว นี่คือโครงการที่จะทำให้ประชาชนจับเงินแสนได้ด้วยวิธีง่าย ๆ แต่ถ้าอยากจับเงินล้าน เลี้ยงโคไปถึง 6 ปี จะมีโคทั้งสิ้น 42 ตัว จะเป็นเงิน  1,050,000 บาท นี่คือโครงการโคเงินล้านที่ทำได้จริง โครงการนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อนุมัติ วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยรัฐอุดหนุนดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ปี เป็นเงิน 600 ล้านบาท ให้กองทุนหมู่บ้านนำร่องโครงการนี้ 100,000 ครอบครัว

โดยโครงการนี้ ได้ทำแล้ว ลองแล้วและสำเร็จแล้ว โดยให้ประชาชนยืมเงินกองทุนหมู่บ้านไปซื้อโค 1,000 ครอบครัว สำเร็จทั้ง 1,000 ครอบครัว เช่นที่ตำบลสะพานหิน อำเภอหนองมะโมง จังหวัดชัยนาท จากตำบลที่แห้งแล้งหันมาเลี้ยงโค 70 % ของตำบลคือ 1,000 ครอบครัว นอกจากหลุดพ้นจากความยากจนแล้วยังกลายเป็นตำบลที่รวยที่สุดภายในเวลา 3 ปี พรรครวมไทยสร้างชาติจะทำต่อ จะทำให้ประชาชนพบกับความร่ำรวยและเป็นสิ่งที่ไม่ขายฝัน

“นพ.เหรียญทอง” ดันนโยบายหนึ่งเขต หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงพยาบาลเอกชน

พล.ต.น.พ.เหรียญทอง แน่นหนา ประธานคณะกรรมการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต กล่าวว่า นโยบายด้านสาธารณสุข ปั้นโครงการหนึ่งเขต หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน นโยบายด้านสาธารณสุข ในเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นจะมีการยกระดับทำโครงการ หนึ่งเขต หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยไม่สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินในการลงทุน โครงการนี้ผู้ป่วยทุกสิทธิ์ที่รักษาพยาบาลได้ประโยชน์ โดยเฉพาะผู้ป่วยบัตรทองที่เป็นผู้ป่วยจำนวนมากของสังคมเข้าเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลได้ ข้าราชการก็เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ โดยไม่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน

สำหรับการแก้ปัญหาด้านบริการสาธารณสุขในพื้นที่เขตชนบท โรงพยาบาลประจำอำเภอต่างๆ ในจังหวัดที่มีประชากรไม่หนาแน่น มักประสบปัญหาเรื่องขีดความสามารถทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นการใช้วิสาหกิจเพื่อสังคมไปเติมขีดความสามารถทางการแพทย์เฉพาะสาขา แต่ละโรงพยาบาลที่ขาดแคนตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง การเพิ่มขีดความสามารถจะลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยในพื้นที่ชนบทได้

พล.อ.ประยุทธ์ ขอบคุณสื่อมวลชนที่นั่งฟังแถลงข่าวที่ใช้เวลายาวนาน ที่เป็นการเสนอข่าวไม่เหมือนพรรคการเมืองไหน ซึ่งนั่งฟังก็ว่านานเหมือนกัน ได้พิจารณามาพอสมควรถึงนโยบายต่างๆ ต้องจัดสรรงบประมาณให้พอเพียง ข้าราชการมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ให้กำลังใจบ้าง สิทธิประโยชน์ต่างๆ เงินเดือนไม่ได้ขึ้น เพราะมาดูแลประชาชนอยู่ ต้องเข้าใจเขาด้วย ทุกคนคือคนไทย ต้องดูแลทั้งข้าราชการชั้นผู้น้อย ข้าราชการเกษียณอายุ หารายได้ให้เขาทำ จะได้ไม่เปนภาระของลูกหลาน ความเท่าเทียม ยอมรับไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในโลก คนอื่นเก่งทุกคน

 ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชวนให้สื่อมวลชนดูภาพที่เขียนว่า เท่าเทียมอย่างไรไม่ประชานิยม โดยเปรียบเทียบระหว่างให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านคน 3 คนที่อยู่บนลังไม้ ได้โผล่หน้าออกไปชมกีฬา ด้วยการมองเห็นในระดับเท่ากัน เทียบกับรูปที่เขียนว่า การแจกเงินดิจิทัล เป็นการใช้งบประมาณที่เลอะเทอะไม่จำเป็น และแสดงให้เห็นรูปของคนที่ยืนบนลังไม้เท่ากัน แต่คนที่ตัวสูงก็จะได้ประโยชน์มากกว่าที่ตัวเล็ก โดย พล.อ.ประยุทธ์  มีอารมณ์ผ่อนคลายหยอกล้อกับสื่อมวลชน ระบุว่า เวลาถ่ายรูปออกไปคนชอบบอกว่า ตัวจริงหล่อกว่าในทีวี และระบุว่าเป็นคนตลก ย้ำหัวใจของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” ถก สมช.-ครม.นัดพิเศษ พิจารณาข้อตกลงหยุดยิง

ทำเนียบรัฐบาล 6 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ พิจารณาข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ด้าน “บิ๊กเล็ก” ตั้งเกณฑ์วัดความจริงใจกัมพูชา 3 ระดับ บอกผ่าน GBC ระดับเลขาฯ แล้ว เบื้องต้นบรรลุข้อลงหยุดยิง ตามข้อเสนอ 8 ข้อ ขอรอดูปฏิบัติจริง ย้ำ MOU43 ยังมีประโยชน์เป็นข้ออ้างกล่าวหาเขมรได้-ขอสบายใจ ยึดประโยชน์ชาติ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีรัฐพิเศษเพื่อที่จะรับรองข้อตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ภายหลังคณะเลขานุการ GBC ไทย ได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อหารือในวงเล็กมาก่อนหน้านี้ โดยบรรยากาศการประชุมมีบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอาทิ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายชูศักดิ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย รวมถึงคณะเลขานุการ GBC เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง พลเอกณัฐพล เปิดเผยก่อน การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) […]

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจสอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย