นิด้าโพลชี้เพื่อไทยแรงมากในอีสาน

นิด้า 24 เม.ย.-ผอ.นิด้าโพล ชี้กระแสเพื่อไทยมาแรงมากในอีสาน ประเมิน ภูมิใจไทยต้องออกแรงอย่างหนักศรีสะเกษ แม้ได้บ้านใหญ่ย้ายร่วมงาน


นายสุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” กล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นของนิด้าโพลพบว่า ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษประชาชนอยากเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยเป็นส.ส.บ่งเขต ว่า หากดูคะแนนที่พรรคเพื่อไทยได้ 47% จะพบว่าไม่ต่างจากพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและอุดรธานี ที่มีขนาดไล่เลี่ยกันจึงสะท้อนว่ากระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสานมาแรงมาก ไม่ว่าจะเป็นอีสานเหนือหรืออีสานใต้ ส่วนพรรคการเมืองอื่นจะเจาะพื้นที่นี้ได้หรือไม่คำตอบคือได้ แต่ต้องออกแรงมาก เหมือนต้องขับเรือฝ่ากระแสคลื่นลม ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีคะแนนมาแรงทั้งตัวพรรครวมถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

นายสุวิชากล่าวว่าพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทยก็มุ่งหวังจากการได้บ้านใหญ่เข้ามาร่วมพรรค แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ยอม จึงจัดเวทีลงพื้นที่ถึงสองครั้ง เพื่อทวงคืนพื้นที่ให้ได้ โดยเมื่อผลสำรวจความคิดเห็นออกมาปรากฏว่าคะแนนนิยมไม่สูสีกัน และกระแสของพรรคเพื่อไทยไปแรงมาก แต่ถามว่าพรรคภูมิใจไทยจะเบียดได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามีสิทธิ์ลุ้นในบางพื้นที่ โดยเฉพาะที่มีฐานเสียงแน่นเป็นคนเก่าแก่ รวมถึงคนที่ย้ายพรรคจากเพื่อไทยมาสังกัดภูมิใจไทยในรอบนี้ พรรคภูมิใจไทยคงต้องออกแรงมาก เนื่องจากบางอำเภอพรรคเพื่อไทยมีคะแนนสูงมากถึง 80% ได้ขณะที่พรรคการเมืองอื่นอย่างก้าวไกลและรวมไทยสร้างชาติ พบว่าคะแนนไม่แตกต่างกันมากกับจังหวัดอื่นในภาคอีสาน คาดว่าที่ศรีสะเกษภูมิใจไทยอาจได้ 3-4 เขต ส่วนเพื่อไทยคาดว่าไม่ต่ำกว่า 5 ที่นั่ง ซึ่งจากผลสำรวจประเมินว่าการแข่งขันในพื้นที่นี้ เกิดขึ้นระหว่าง 2 พรรคคือพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย


เมื่อถามว่าส.ส. เดิมในพื้นที่หลายคนย้ายสังกัดจากพรรคเพื่อไทยไปอยู่พรรคภูมิใจไทยจะส่งผลกับการเลือกตั้งหรือไม่ นายสุวิชา กล่าวว่า ปัจจัยการตัดสินใจมีทั้งเรื่องนโยบายรวมถึงกระแส ตัวบุคคล และทรัพยากรทางการเมือง แต่ในพื้นที่ต่างจังหวัดส่วนใหญ่ ตัวบุคคลและทรัพยากรทางการเมืองมีความสำคัญ ซึ่งตัวผู้สมัครส.ส.จังหวัดศรีสะเกษมีความชัดเจนเรื่องของคนเก่าแก่ นามสกุลดังในพื้นที่ แต่ต้องจับตาว่าการเลือกตั้งรอบนี้คนตระกูลเก่าจะหายไปจากการเลือกตั้งหรือไม่ ส่วนผู้สมัครส.ส. ที่ลงในนามพรรคเพื่อไทยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจว่ามีกระแสดี และไม่ทำพื้นที่ เนื่องจากกระแสก็คือกระแส มิเช่นนั้นอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้

นายสุวิชา กล่าวว่า กระแสของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคอีสานตอนนี้แรงมาก เช่นเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติที่มีกระแสความนิยมดีในภาคใต้ ซึ่งจะเห็นได้จากในพื้นที่ภาคใต้มีผู้สมัครบางคนที่ไม่ใช่ของพรรครวมไทยสร้างชาติทิ้งดิ่งตัวเอง ขอให้ประชาชนเลือกตัวเองที่สมัคร ส.ส.เขต ส่วนคะแนนพรรคการเมือง อยากสนับสนุนลุงตู่ ก็แล้วแต่ประชาชนตัดสินใจ เหมือนเป็นการทิ้งแกนนำพรรคที่ตัวเองสังกัดอยู่ เพื่อหวังให้ตัวเองเข้าสภาฯ ก่อน เนื่องจากมีความกังวลว่าหากขอคะแนนทั้ง 2 ใบ จะเป็นการเสียคะแนนให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ  ดังนั้นต้องกลับมาดูในพื้นที่ภาคอีสานจะใช้แนวทางเดียวกันหรือไม่ ว่า หากเป็นส.ส.เขตให้เลือกตัวเอง แต่ถ้าเป็น บัญชีรายชื่อจะเลือกพรรคเพื่อไทยก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน

ด้านนายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นช่วงแรกพรรคภูมิใจไทยต้องการขยายพื้นที่อีสานใต้ จึงดึงผู้สมัคร จากพรรคอื่นเข้าร่วม แต่พอผลสำรวจความคิดเห็นออกมาพบว่ากับไม่เป็นไปตามที่ประเมินไว้เนื่องจากกระแสของพรรคเพื่อไทยนพื้นที่ภาคอีสานมาแรงมาก ซึ่งอาจจะทำกวาดบ้านใหญ่ให้โดนพายุได้ และปรากฏการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ในพื้นที่อีสานที่ ส.ส.บ้านใหญ่ ลงแข่งขันแล้วพ่ายแพ้พรรคเพื่อไทย ยิ่งเมื่อดูกระแสตอนนี้ประเมินว่าบ้านใหญ่อาจสอบตกในพื้นที่ภาคอีสาน ไม่เว้นแม้แต่จังหวัดบุรีรัมย์ที่ผลสำรวจความคิดเห็นของนิด้าโพลพบว่าพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยมีคะแนนสูสีกัน


“กระแสต้องการความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ภาคอีสานมาแรงมาก และเมื่อประเมินจากคะแนนความนิยมที่ออกมาล่าสุดพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลรวมกัน ส.ส.เขตจะอยู่ที่ 83% ถ้าเป็นบัญชีรายชื่ออยู่ที่ 81% หากรวม พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยสร้างไทยเข้าไปด้วย จะกลายเป็นได้ ส.ส.เขต 86% และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 85.67% ขณะที่ซี่ฝ่ายรัฐบาลเดิมรวมกันแล้วได้ 11 % ซึ่งถือว่าคะแนนห่างกันมาก จึงมีความเป็นไปได้ว่าคนในพื้นที่ภาคอีสาน เมื่อดูแล้วว่าการแข่งขันอยู่ในฝั่งของฝ่ายค้านก็เอามาเทคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยก็เป็นได้ เพื่อให้สามารถชนะอย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะพื้นที่ที่แข่งขันกับพรรคภูมิใจไทย” นายพิชาย กล่าว

เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่คนในพื้นที่ภาคอีสานจะลงโทษผู้สมัครจากตระกูลบ้านใหญ่ที่ย้ายพรรคมาอีกขั้ว นายพิชาย กล่าวว่า จากการประเมินมีความเป็นไปได้เพราะคนในพื้นที่ภาคอีสานก็ชอบคนที่มีความซื่อสัตย์ บางคนที่ถูกประชาชนมองว่ามีการซื้อตัวไป หรือไม่ตรงไปตรงมากับพรรคการเมืองที่เคยสังกัดก็อาจถูกประชาชนลงโทษก็เป็นได้ ซึ่งปรากฏการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคอีสานมา ดังนั้นครั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่คนภาคอีสานจะลงโทษ ส.ส. งูเห่า

“จากผลสำรวจความคิดเห็นพบว่าพื้นที่ภาคอีสานพรรคเพื่อไทยมีคะแนนสูงกว่า 60% ซึ่งตรงนี้ก็บ่งบอกได้ถึงสัญญาณเลนส์สไลด์ คือสามารถเลนส์สไลด์ได้ทั้งจังหวัด ซึ่งประเมินได้ว่าพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคอีสานอาจได้ที่นั่ง 100 ถึง 110 เสียง ที่เหลืออีก 20 เสียงอาจกระจายไปอยู่พรรคอื่น แต่ในพื้นที่ภาคอื่นคะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยไม่เหมือนกับพื้นที่ภาคอีสานที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น เพราะหากไปดูคะแนนความนิยมพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคกลางกลับลดลงเล็กน้อย แม้กระทั่งภาคเหนือความนิยมก็ลดลงเล็กน้อย และการที่คะแนนของพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล10,000 บาท เพราะกระแสเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่กลางปี 2565 จากการสำรวจของนิด้าโพล” นายพิชาย กล่าว.-สำนักข่าวไทย        

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

ปิดล้อมกว่า 8 ชม. จับหนุ่มคลั่งควงปืนสงครามขู่ยิง ตร.

ศรีสะเกษ 17 ก.ย. – พ่อค้ายาเสพติดคลุ้มคลั่ง ควงปืนสงคราม AK-47 ขู่ยิงเจ้าหน้าที่ หลังถูกชุดปฏิบัติการ 238 พิทักษ์นครลำดวน สนธิกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบ้านเป้าหมายพื้นที่ อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ เกลี้ยกล่อมนานกว่า 8 ชั่วโมง สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหว ยอมวางอาวุธมอบตัวแต่โดยดี เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อมนายวีระศักดิ์ อายุ 35 ปี มีประวัติพัวพันการค้ายาเสพติด ครอบครองอาวุธสงคราม และยังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งวิ่งเข้าไปหลบภายในบ้าน ต.หนองกุง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ หลังตำรวจแสดงตัวเข้าตรวจค้น เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ มีพฤติกรรมอุกอาจ แต่นายวีระศักดิ์กลับวิ่งไปหยิบอาวุธปืนสงคราม AK-47 ออกมาขู่เจ้าหน้าที่ พร้อมตะโกนด้วยเสียงดุดันว่าถ้าเข้ามาจะยิง จากนั้นรีบหลบกลับเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบริเวณโดยรอบอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันเหตุร้าย บรรยากาศตึงเครียด เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อม ทั้งให้พ่อแม่และญาติสื่อสารทางโทรศัพท์ หวังให้ผู้ต้องหายอมมอบตัวแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากนายวีระศักดิ์ยังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยาบ้า ถือปืนพร้อมยิงตลอดเวลา นานกว่า 8 ชั่วโมง […]

ช่องโดนเอาว์เจอ PMN-2 อีก 8 ทุ่น ทบ.ชี้เขมรยังละเมิดข้อตกลง

17 ก.ย.- ทบ. แจงตรวจพบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 8 ทุ่นบริเวณช่องโดนเอาว์ จ.ศรีสะเกษ ชี้กัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ย้ำควรรับผิดชอบและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ วันนี้ (17 ก.ย.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ากองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังจากที่กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 132 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อเสริมภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ วานนี้ (16 ก.ย.68) โดยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก มีสภาพใหม่ ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน ซึ่งทางหน่วยได้ทำการเก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บเพื่อรอการทำลายเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการตรวจพบระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละในการใช้อาวุธต่อกำลังของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน และเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับข้อตกลงที่กัมพูชาได้ให้ไว้ในที่ประชุม GBC เมื่อวันที่ 10 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ในเรื่องความร่วมมือที่จะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งจากนี้กองทัพบกจะนำหลักฐานที่ได้ตรวจพบทั้งหมดในพื้นที่ รวบรวมนำส่งให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร้องเรียนตามกระบวนการในเวทีสากลต่างๆ ต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือกัมพูชา […]

ไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เขมรป่วนไม่เลิก

17 ก.ย.- เปิดไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง หลังชาวเขมรชุมนุมประท้วง ก่อความวุ่นวาย ล่าสุดสถานการณ์ทั่วไปอยู่ในความควบคุม แต่กลุ่มชาวกัมพูชายังคงปักหลักใกล้แนวชายแดน.-สำนักข่าวไทย

ทำเนียบฯ เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่

ทำเนียบ 17 ก.ย.- ทำเนียบรัฐบาล เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่ ถ่ายรูปติดบัตร ก่อนถวายสัตย์ปฏิญาณ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน และยังมีการตัดแต่งต้นไม้ บริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาล และตัดหญ้าด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา และวันนี้มีการส่งทีมงานเข้ามาดูห้องทำงานภายในตึกบัญชาการ 1 ด้วย สำหรับตำแหน่งว่าที่รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลอนุทิน มีชื่อทั้งหมด 7 คน ได้แก่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี และนายโสภณ​ ​ซา​รัมย์​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​ ขณะที่ตำแหน่งว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี […]