นิด้าโพลชี้เพื่อไทยแรงมากในอีสาน

นิด้า 24 เม.ย.-ผอ.นิด้าโพล ชี้กระแสเพื่อไทยมาแรงมากในอีสาน ประเมิน ภูมิใจไทยต้องออกแรงอย่างหนักศรีสะเกษ แม้ได้บ้านใหญ่ย้ายร่วมงาน


นายสุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” กล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นของนิด้าโพลพบว่า ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษประชาชนอยากเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยเป็นส.ส.บ่งเขต ว่า หากดูคะแนนที่พรรคเพื่อไทยได้ 47% จะพบว่าไม่ต่างจากพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและอุดรธานี ที่มีขนาดไล่เลี่ยกันจึงสะท้อนว่ากระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสานมาแรงมาก ไม่ว่าจะเป็นอีสานเหนือหรืออีสานใต้ ส่วนพรรคการเมืองอื่นจะเจาะพื้นที่นี้ได้หรือไม่คำตอบคือได้ แต่ต้องออกแรงมาก เหมือนต้องขับเรือฝ่ากระแสคลื่นลม ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีคะแนนมาแรงทั้งตัวพรรครวมถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

นายสุวิชากล่าวว่าพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทยก็มุ่งหวังจากการได้บ้านใหญ่เข้ามาร่วมพรรค แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ยอม จึงจัดเวทีลงพื้นที่ถึงสองครั้ง เพื่อทวงคืนพื้นที่ให้ได้ โดยเมื่อผลสำรวจความคิดเห็นออกมาปรากฏว่าคะแนนนิยมไม่สูสีกัน และกระแสของพรรคเพื่อไทยไปแรงมาก แต่ถามว่าพรรคภูมิใจไทยจะเบียดได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามีสิทธิ์ลุ้นในบางพื้นที่ โดยเฉพาะที่มีฐานเสียงแน่นเป็นคนเก่าแก่ รวมถึงคนที่ย้ายพรรคจากเพื่อไทยมาสังกัดภูมิใจไทยในรอบนี้ พรรคภูมิใจไทยคงต้องออกแรงมาก เนื่องจากบางอำเภอพรรคเพื่อไทยมีคะแนนสูงมากถึง 80% ได้ขณะที่พรรคการเมืองอื่นอย่างก้าวไกลและรวมไทยสร้างชาติ พบว่าคะแนนไม่แตกต่างกันมากกับจังหวัดอื่นในภาคอีสาน คาดว่าที่ศรีสะเกษภูมิใจไทยอาจได้ 3-4 เขต ส่วนเพื่อไทยคาดว่าไม่ต่ำกว่า 5 ที่นั่ง ซึ่งจากผลสำรวจประเมินว่าการแข่งขันในพื้นที่นี้ เกิดขึ้นระหว่าง 2 พรรคคือพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย


เมื่อถามว่าส.ส. เดิมในพื้นที่หลายคนย้ายสังกัดจากพรรคเพื่อไทยไปอยู่พรรคภูมิใจไทยจะส่งผลกับการเลือกตั้งหรือไม่ นายสุวิชา กล่าวว่า ปัจจัยการตัดสินใจมีทั้งเรื่องนโยบายรวมถึงกระแส ตัวบุคคล และทรัพยากรทางการเมือง แต่ในพื้นที่ต่างจังหวัดส่วนใหญ่ ตัวบุคคลและทรัพยากรทางการเมืองมีความสำคัญ ซึ่งตัวผู้สมัครส.ส.จังหวัดศรีสะเกษมีความชัดเจนเรื่องของคนเก่าแก่ นามสกุลดังในพื้นที่ แต่ต้องจับตาว่าการเลือกตั้งรอบนี้คนตระกูลเก่าจะหายไปจากการเลือกตั้งหรือไม่ ส่วนผู้สมัครส.ส. ที่ลงในนามพรรคเพื่อไทยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจว่ามีกระแสดี และไม่ทำพื้นที่ เนื่องจากกระแสก็คือกระแส มิเช่นนั้นอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้

นายสุวิชา กล่าวว่า กระแสของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคอีสานตอนนี้แรงมาก เช่นเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติที่มีกระแสความนิยมดีในภาคใต้ ซึ่งจะเห็นได้จากในพื้นที่ภาคใต้มีผู้สมัครบางคนที่ไม่ใช่ของพรรครวมไทยสร้างชาติทิ้งดิ่งตัวเอง ขอให้ประชาชนเลือกตัวเองที่สมัคร ส.ส.เขต ส่วนคะแนนพรรคการเมือง อยากสนับสนุนลุงตู่ ก็แล้วแต่ประชาชนตัดสินใจ เหมือนเป็นการทิ้งแกนนำพรรคที่ตัวเองสังกัดอยู่ เพื่อหวังให้ตัวเองเข้าสภาฯ ก่อน เนื่องจากมีความกังวลว่าหากขอคะแนนทั้ง 2 ใบ จะเป็นการเสียคะแนนให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ  ดังนั้นต้องกลับมาดูในพื้นที่ภาคอีสานจะใช้แนวทางเดียวกันหรือไม่ ว่า หากเป็นส.ส.เขตให้เลือกตัวเอง แต่ถ้าเป็น บัญชีรายชื่อจะเลือกพรรคเพื่อไทยก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน

ด้านนายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นช่วงแรกพรรคภูมิใจไทยต้องการขยายพื้นที่อีสานใต้ จึงดึงผู้สมัคร จากพรรคอื่นเข้าร่วม แต่พอผลสำรวจความคิดเห็นออกมาพบว่ากับไม่เป็นไปตามที่ประเมินไว้เนื่องจากกระแสของพรรคเพื่อไทยนพื้นที่ภาคอีสานมาแรงมาก ซึ่งอาจจะทำกวาดบ้านใหญ่ให้โดนพายุได้ และปรากฏการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ในพื้นที่อีสานที่ ส.ส.บ้านใหญ่ ลงแข่งขันแล้วพ่ายแพ้พรรคเพื่อไทย ยิ่งเมื่อดูกระแสตอนนี้ประเมินว่าบ้านใหญ่อาจสอบตกในพื้นที่ภาคอีสาน ไม่เว้นแม้แต่จังหวัดบุรีรัมย์ที่ผลสำรวจความคิดเห็นของนิด้าโพลพบว่าพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยมีคะแนนสูสีกัน


“กระแสต้องการความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ภาคอีสานมาแรงมาก และเมื่อประเมินจากคะแนนความนิยมที่ออกมาล่าสุดพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลรวมกัน ส.ส.เขตจะอยู่ที่ 83% ถ้าเป็นบัญชีรายชื่ออยู่ที่ 81% หากรวม พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยสร้างไทยเข้าไปด้วย จะกลายเป็นได้ ส.ส.เขต 86% และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 85.67% ขณะที่ซี่ฝ่ายรัฐบาลเดิมรวมกันแล้วได้ 11 % ซึ่งถือว่าคะแนนห่างกันมาก จึงมีความเป็นไปได้ว่าคนในพื้นที่ภาคอีสาน เมื่อดูแล้วว่าการแข่งขันอยู่ในฝั่งของฝ่ายค้านก็เอามาเทคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยก็เป็นได้ เพื่อให้สามารถชนะอย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะพื้นที่ที่แข่งขันกับพรรคภูมิใจไทย” นายพิชาย กล่าว

เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่คนในพื้นที่ภาคอีสานจะลงโทษผู้สมัครจากตระกูลบ้านใหญ่ที่ย้ายพรรคมาอีกขั้ว นายพิชาย กล่าวว่า จากการประเมินมีความเป็นไปได้เพราะคนในพื้นที่ภาคอีสานก็ชอบคนที่มีความซื่อสัตย์ บางคนที่ถูกประชาชนมองว่ามีการซื้อตัวไป หรือไม่ตรงไปตรงมากับพรรคการเมืองที่เคยสังกัดก็อาจถูกประชาชนลงโทษก็เป็นได้ ซึ่งปรากฏการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคอีสานมา ดังนั้นครั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่คนภาคอีสานจะลงโทษ ส.ส. งูเห่า

“จากผลสำรวจความคิดเห็นพบว่าพื้นที่ภาคอีสานพรรคเพื่อไทยมีคะแนนสูงกว่า 60% ซึ่งตรงนี้ก็บ่งบอกได้ถึงสัญญาณเลนส์สไลด์ คือสามารถเลนส์สไลด์ได้ทั้งจังหวัด ซึ่งประเมินได้ว่าพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคอีสานอาจได้ที่นั่ง 100 ถึง 110 เสียง ที่เหลืออีก 20 เสียงอาจกระจายไปอยู่พรรคอื่น แต่ในพื้นที่ภาคอื่นคะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยไม่เหมือนกับพื้นที่ภาคอีสานที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น เพราะหากไปดูคะแนนความนิยมพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคกลางกลับลดลงเล็กน้อย แม้กระทั่งภาคเหนือความนิยมก็ลดลงเล็กน้อย และการที่คะแนนของพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล10,000 บาท เพราะกระแสเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่กลางปี 2565 จากการสำรวจของนิด้าโพล” นายพิชาย กล่าว.-สำนักข่าวไทย        

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กั้นแนวถนนบ้านหนองจาน ตามประกาศเคอร์ฟิว

สระแก้ว 27 ส.ค. – มวลชนชาวไทยร่วมร้องเพลงชาติ ที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เมื่อเวลา 18.00 น. จากนั้นทหารขอความร่วมมือให้ออกนอกพื้นที่ ตามประกาศเคอร์ฟิว ก่อนนำลวดหนามและเครื่องกีดขวาง กั้นแนวขอบถนนศรีเพ็ญ ห้ามผู้ใดข้ามไป เพื่อความปลอดภัย. – สำนักข่าวไทย

ดินถล่มหมู่บ้าน อ.แม่แจ่ม ตาย 3 สูญหาย 6

เชียงใหม่ 27 ส.ค. – ฝนที่ตกหนักจากฤทธิ์ของพายุ “คาจิกิ” ทำให้เกิดดินถล่มในหมู่บ้านปางอุ๋ง ซึ่งอยู่บนดอยสูง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย บาดเจ็บ 15 ราย และยังสูญหายอีก 6 ราย สภาพหมู่บ้านเต็มไปด้วยดินโคลนที่ถล่มลงมาทับบ้านเรือนเสียหายนับร้อยหลัง. – สำนักข่าวไทย

“มาริษ” แจงข้าหลวงใหญ่ UN ปมกัมพูชา

สวิตเซอร์แลนด์ 27 ส.ค.-“มาริษ” เผยคุยรองข้าหลวงใหญ่ UN ปมไทย-กัมพูชา สัญญาณบวก เข้าใจไทยไม่ทำผิดกติการะหว่างประเทศ ไม่เห็นด้วย “ฮุน เซน” อัดเสียงคุยนายกฯ และการใช้สงครามข่าวปลอม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าพบหารือกับนางนาดา อัล-นาชิฟ (Nada Al-Nashif) รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อแสดงข้อมูลหลักฐานและชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา นายมาริษ เปิดเผยภายหลังการหารือว่า ได้เล่าให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ ฟังถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาในหลายประเด็น ซึ่งรองข้าหลวงใหญ่ฯมีความเห็นที่สนับสนุนประเทศไทยในหลายเรื่อง และมีท่าทีที่เป็นห่วงประเทศไทยมาก ซึ่งตนได้ชี้แจงข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการที่กัมพูชาใช้โซเชียลมีเดียโจมตีไทยมานานแล้ว มีการให้ข้อมูลว่าไทยลอกเลียนแบบวัดและประวัติศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งไทยพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยความอดทนอดกลั้น และพยายามชี้แจงให้เห็นว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ก่อตั้งกันมาจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมเดียวกัน ไทยต้องการแก้ไขปัญหาไม่ต้องการแสดงความร้าวฉานระหว่างชุมชนและ ประชาชนของทั้งสองประเทศ และเมื่อปัญหาคุกรุ่นมากขึ้นไทยก็พยายาม แก้ปัญหาด้วยการให้กัมพูชามาพูดคุยแบบทวิภาคี เป็นการอธิบายให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ ได้เข้าใจว่าไทยปฏิบัติตามกติกา ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ และพยายามหาทางให้กัมพูชามาพูดคุยกับไทย ซึ่งไทยกับกัมพูชามีข้อตกลง MOU43 ที่ทั้งสองประเทศจะต้องแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติวิธี และด้วยความจริงใจ นับเป็นกลไกที่องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญ คือการเจรจาทวิภาคีโดยสันติและจริงใจ โดยไทยยึดมั่นมาโดยตลอด และเป็นเป้าหมายที่สำคัญของไทย นายมาริษ กล่าวว่าตนได้หยิบยกประเด็นที่สมเด็จฮุน เซน อัดเสียงพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีของไทย และนำมาเผยแพร่ในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง […]

“ทิดอลงกต-หมอบี” นอนคุก ศาลไม่ให้ประกันตัว

ศาลอาญาฯ 27 ส.ค. – “ทิดอลงกต-หมอบี” นอนคุก ศาลไม่ให้ประกันตัว เหตุคดีมีอัตราโทษสูง และมีทรัพย์สินมูลค่าความเสียหายสูง พนักงานสอบสวน กองกำกับการ 5 กองบังคับการป้องกันปราบปราม ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ขอฝากขังครั้งแรก พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือนายอลงกต พูลมุข ผู้ต้องหาที่ 1 และนายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล ผู้ต้องหาที่ 2 ความผิดกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยินยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยทุจริต, ฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ความผิดกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่รักษาทรัพย์ใดฯ, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ, ฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอนุญาตให้ฝากขัง 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.- 7 ก.ย.นี้ โดยผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นนี้ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 […]