บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์ข่าวเตือนว่า “เครื่องครัวพลาสติกสีดำ มีสารเสี่ยงเกิดมะเร็งปริมาณสูง บ้านไหนมีควรทิ้ง ยิ่งใช้ยิ่งอันตราย” จริงหรือ ?
🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ดร.บุศรินทร์ จงเจริญยานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ และ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ข่าวนี้มาจากงานวิจัยและงานวิจัยมีอยู่จริง มีข้อมูลบางส่วนจากงานวิจัยที่ข่าวนี้ใช้อ้างอิงมีความผิดพลาด โดยเจ้าของงานวิจัยนี้ได้ทำหนังสือขอโทษและแก้ไขข้อมูลแล้ว แต่ข่าวที่เผยแพร่ในประเทศไทยยังไม่ได้มีการอัปเดตข้อมูลการแก้ไขนี้ จึงยังไม่ควรแชร์ต่อ เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้
ประเด็นที่ผิดพลาดคือ เจ้าของงานวิจัยรายงานว่าสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (United States Environmental Protection Agency : US EPA) กำหนดขีดจำกัดที่ปลอดภัยของ Decabromodiphenyl Ether, BDE-209 ไว้ที่ 42,000 นาโนกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด โดยไม่ได้ใส่เลข 0 หนึ่งตัว
การคำนวณนี้มาจากปริมาณการรับสัมผัสที่ยังอยู่ในระดับปลอดภัยของ BDE-209 คือ 7,000 นาโนกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน และใช้ค่าน้ำหนักผู้ใหญ่ 60 กิโลกรัม ดังนั้น ค่าที่ถูกต้องคือ 7,000 x 60 = 420,000 นาโนกรัมต่อวัน (limit)
งานวิจัยนี้อ้างอิงข้อมูลการใช้เครื่องครัวสีดำ จำลองสภาวะการใช้งานในน้ำมันและอุณหภูมิสูง เช่น ในการปรุงอาหารและเสิร์ฟอาหารร้อน พบว่าเกิดการ “ไมเกรชัน” (Migration) ที่มีการเคลื่อนย้ายหรือการแพร่กระจายของสารจากภาชนะบรรจุ หรือวัสดุสัมผัสอาหารลงสู่อาหารโดยตรง หรือการปล่อย “สารหน่วงไฟ” (Flame Retardants) BDE-209 อยู่ที่ 34,700 นาโนกรัมต่อวัน
จากการคำนวณที่ผิดพลาดข้างต้น ทำให้ดูเหมือนว่าเครื่องครัวสีดำปล่อยสารหน่วงไฟสูงเกือบเท่ากับค่าจำกัดที่ปลอดภัย (limit) ทั้งที่ในความเป็นจริง ค่าที่ถูกต้องคือ 420,000 นาโนกรัมต่อวัน ปริมาณสารที่ปลดปล่อยออกมา ต่ำกว่าเกณฑ์อันตรายถึง 12 เท่า
งานวิจัยนี้นำวัสดุอุปกรณ์ครัวเรือนที่ทำจากพลาสติกสีดำมาจากห้างร้านต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา เก็บตัวอย่างทั้งหมด 203 ตัวอย่าง และใช้เครื่องสแกนหาสารหน่วงการติดไฟ (Flame Retardants – FRs) ว่ามีธาตุโบรมีน (Bromine) หรือไม่
“โบรมีน” เป็นส่วนประกอบของสารที่ใช้ในการหน่วงไฟ ถ้าตัวอย่างไหนมีโบรมีนมากเขาก็วิเคราะห์ต่อด้วยการนำภาชนะพลาสติกตัวอย่างมาละลายหาสารหน่วงไฟ
ปรากฏว่าใน 20 ตัวอย่าง มี 17 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 85 จาก 20 ตัวอย่างพบสารหน่วงไฟ ซึ่งสะท้อนว่าในท้องตลาดมีวัสดุอุปกรณ์ รวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือนที่มีสารหน่วงไฟผสมอยู่อันเนื่องมาจากกระบวนการรีไซเคิล
ที่สำคัญ ตัวเลขร้อยละ 85 อาจทำให้เข้าใจว่าเป็น 85 เปอร์เซ็นต์ของ 203 ตัวอย่าง แต่ในความเป็นจริง ตัวเลข 85 เปอร์เซ็นต์ คือตัวแทนของ 17 ตัวอย่างเท่านั้นเอง
สารหน่วงไฟที่พูดถึงคืออะไร อันตราย และการเข้าสู่ร่างกาย เป็นอย่างไร ?
สารหน่วงการติดไฟที่พูดถึงในงานวิจัยนี้คือ กลุ่มของสารหน่วงไฟที่มีโบรมีน (Brominated Flame Retardants – BFRs) และสารหน่วงไฟชนิดออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate Flame Retardants – OPFRs) และสารทดแทน มักถูกเติมลงในพลาสติกที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าในปริมาณสูงเพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดไฟ
ในเครื่องครัวสีดำไม่ได้ตั้งใจเติมสารหน่วงไฟลงไป แต่มาจากการรีไซเคิลพลาสติกจากเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเป็นเครื่องครัวสีดำ นอกจากนี้ก็ยังพบในของเล่น หวี ลูกปัดที่มีสีดำ ทำให้ของใช้เหล่านี้มีสารหน่วงไฟผสมอยู่ด้วย
อันตรายจากสารหน่วงไฟ ถ้าร่างกายได้รับสารหน่วงไฟเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้ มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ ต่อมไร้ท่อ เป็นมะเร็ง และมีผลต่อการเจริญเติบโต
การเข้าสู่ร่างกายของสารหน่วงไฟทางใหญ่ ๆ ก็คือกินเข้าไป จากการใช้เครื่องครัวซึ่งอาจมีสารหน่วงไฟผสมอยู่ และใช้ในสภาวะที่ผู้ผลิตอาจะไม่ได้กำหนดไว้ นั่นคือใช้ระยะเวลานานเกินไป ด้วยอุณหภูมิความร้อนที่สูงมากเกินไป ทำให้สารหน่วงไฟถูกแพร่ หรือเกิดการไมเกรชั่น (Migration) จากการเคลื่อนที่ของสารหน่วงไฟสู่อาหารและเราก็กินอาหารเหล่านี้เข้าไป
อีกทางหนึ่งที่งานวิจัยมีการพูดถึง คือ ของเล่นเด็กทำจากพลาสติกสีดำ เช่น เด็กอม กัดเล่น สารหน่วงไฟก็มีโอกาสแพร่จากพลาสติกสีดำสู่น้ำลายเด็กเข้าสู่ร่างกาย
ใครมีเครื่องครัวสีดำ จะต้องทิ้งทันที หรือไม่ ?
จากข่าวที่แชร์กันบอกว่า “ควรจะทิ้งเครื่องครัวสีดำ” เพราะเขามองเห็นว่าความเสี่ยงค่อนข้างสูงมาก
แต่ “ความเสี่ยง” ที่ปรากฏในข่าว เกิดจากการคำนวณที่ผิดพลาด รู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่สบายใจ ก็สามารถปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุชนิดอื่นแทนได้
เครื่องครัวสีดำ ยังใช้ได้ ถ้าเป็นวัสดุสัมผัสอาหาร ซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐาน ก็ใช้ต่อได้
สิ่งสำคัญก็คือต้องใช้ตามสภาวะที่ผู้ผลิตแนะนำ เช่น อุณหภูมิ ระยะเวลาการใช้งาน
ถ้าใช้เครื่องครัวสีดำภายใต้ข้อกำหนดเหล่านี้ มั่นใจได้ว่าไม่มีอันตรายที่สารต่าง ๆ จะออกมามากกว่าที่ร่างกายจะรับได้
พลาสติกสีดำทุกชิ้นไม่ได้มีสารอันตราย และงานวิจัยชิ้นนี้ทำให้สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันข้อมูลในประเทศไทย ก็ไม่ได้มีการทำวิจัยเทียบเคียงกันระดับนี้ ให้คำตอบไม่ได้ว่าถ้าของไทยอาจจะมากกว่า หรืออาจจะน้อยกว่า
ในเมืองไทย การนำพลาสติมาเป็นวัสดุสัมผัสอาหาร มีแต่ขวดน้ำพลาสติก หรือพวกเพชรเท่นั้น อย่างเดียวที่สามารถทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลได้ และพลาสติกที่จะนำมารีไซเคิลได้ ต้องเป็นพลาสติกที่สัมผัสอาหารมาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้เป็นพลาสติกชนิดอื่น ๆ มาก่อน เพราะฉะนั้นพลาสติกชนิดอื่น ๆ ที่นำมาใช้สัมผัสอาหาร เป็นพลาสติกบริสุทธิ์ไม่ได้ผ่านการใช้งานมาก่อน
ทุกข่าวสารที่น่าสนใจ ควรตรวจให้แน่ใจก่อนตื่นตระหนก
สัมภาษณ์โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์
เรียบเรียงโดย คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ดูเพิ่มเติมรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ : เครื่องครัวพลาสติกสีดำ มีสารเสี่ยงมะเร็ง จริงหรือ ?
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter