กรุงเทพ 21 ม.ค. 64 – ตัวแทนจากสมาคมฯ และไทยลีก ประชุมร่วมกับ ศบค. ชุดเล็ก และกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ไทยลีกกลับมาแข่งขันเต็มรูปแบบได้ ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในรูปแบบปิดเหย้า-เยือน โดยจะมีข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (แดงเข้ม) ซึ่งจะมีการแจ้งรายละเอียดให้แก่สโมสรในที่ประชุมวันศุกร์นี้
วันที่ 21 มกราคม 2564 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ บริษัท ไทยลีก จำกัด นำโดย กรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เข้าประชุมร่วมกับคณะกรรมการเฉพาะกิจ พิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกัน และยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) โดยมี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็นประธาน และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วม
ในการประชุมดังกล่าว ตัวแทนจากไทยลีก ได้นำเสนอมาตรการแข่งขันแบบปิด ในรูปแบบเหย้า-เยือน โดยมีรายละเอียด 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การแข่งขันแบบไม่มีผู้เข้าชม การเพิ่มมาตรการเดินทางข้ามจังหวัด และการตรวจเชื้อโควิด-19 เพื่อติดตามผลในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งในที่ประชุมเห็นชอบให้ดำเนินการเริ่มแข่งขันได้อย่างเต็มรูปแบบในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีข้อจำกัดบางประการ สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (แดงเข้ม) ซึ่งจะมีการชี้แจงให้ทราบโดยทั่วกันในที่ประชุมสโมสรไทยลีก 1-2 ที่จะมีขึ้นวันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 ต่อไป
ภายหลังการประชุม กรวีร์ ปริศนานันทกุล กล่าวว่า “ผมในฐานะตัวแทนของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และไทยลีก ขอขอบคุณ ศบค. รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เห็นความสำคัญของฟุตบอลไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจระดับจังหวัด และร่วมกันผลักดันให้กลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง โดยในวันศุกร์นี้ ไทยลีกจะมีการประชุมกับสโมสรไทยลีก 1-2 เพื่อแจ้งรายละเอียด เกี่ยวกับมาตรการแข่งขันแบบปิด”
“ในการประชุม ทาง ศบค. ได้ฝากข้อคิดเห็น ให้สโมสร นักกีฬา และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสาธารณชน รวมถึงกีฬาประเภทอื่นๆ และป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งแพร่กระจาย ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนั้น เราก็อยากขอให้ทุกๆ คน ร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ฟุตบอลไทยฝ่าวิกฤติในครั้งนี้ไปพร้อมๆกันได้ ”