29 ก.ค.- กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสำรวจอนามัยโพลช่วง พ.ค.-ก.ค.65 พบคนไทยมีพฤติกรรมด้านสุขอนามัยลดลง ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ห่วงวันหยุดยาว อาจเสี่ยงแพร่โรคโควิด-19 แนะสถานที่ต่าง ๆ คุมเข้มมาตรการป้องกันโรค พร้อมขอประชาชนป้องกันตนเองเพิ่มมากขึ้นเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โรคโควิด-19 สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ที่อาจส่งผลให้มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นนั้น การป้องกันตนเองด้วยหลัก UP (Universal Prevention) เพื่อลดความเสี่ยงของโรค ถือเป็นพฤติกรรมสุขภาพที่ประชาชนทุกวัยยังคงต้องปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่อง แต่จากผลการสำรวจอนามัยโพลเกี่ยวกับแนวโน้มพฤติกรรมการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค พบว่า ในช่วงระยะเวลา 3 เดือนตั้งแต่พฤษภาคม ถึง กรกฎาคม 2565 ประชาชนมีพฤติกรรม สวมหน้ากากลดลง จากร้อยละ 96.1 ในเดือนพฤษภาคม ลดลงเป็นร้อยละ 94.6 ในเดือนกรกฎาคม ส่วนการล้างมือ ลดลงจากร้อยละ 91.5 เป็นร้อยละ 88.1 และการเว้นระยะห่าง ลดลงจากร้อยละ 84.6 เป็นร้อยละ 78.6 ซึ่งในภาพรวมพบว่า ผู้ที่ทำได้ครบทั้ง 3 พฤติกรรม มีแนวโน้มลดลงอย่างมาก จากร้อยละ 82 เป็นร้อยละ 74.1 เท่านั้น
“ทั้งนี้ ในช่วงวันหยุดยาวนี้ คาดว่าในหลายสถานที่ เช่น ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า สถานีขนส่งสาธารณะ และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จะมีประชาชนไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการจึงต้องเข้ม มาตรการป้องกันโรค โดยจัดให้มีจุดบริการล้างมือที่เพียงพอ และดูแลให้มีการระบายอากาศที่ดี เพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย ขณะที่ผู้ใช้บริการขอให้สร้างสุขอนามัยที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการสวมหน้ากากเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นในสถานที่ที่มีความแออัด มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และไม่สามารถ เว้นระยะห่างได้ รวมทั้งสถานที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี โดยเฉพาะกลุ่ม 608 และผู้ที่มีโรคประจำตัว เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ควรสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีตลอดเวลาเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดความเสี่ยง และป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 ด้วย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว .-สำนักข่าวไทย