กทม.ซ้อมเสมือนจริงแผนบูรณาการสาธารณภัยระดับ 2

กรุงเทพฯ 25 ก.ค.- กทม.ผนึกกำลังภาคีเครือข่าย ฝึกซ้อมแผนบูรณาการสาธารณภัย ระดับ 2 จำลองสถานการณ์ซับซ้อนเสมือนจริง เกิดโรงงานสารเคมีระเบิด มีสารเคมีรั่วไหล ไฟไหม้ อาคารถล่ม มีผู้ประสบภัยติดค้างใต้ซากอาคาร แถมระหว่างระงับเหตุรถอพยพคนงานพลิกคว่ำลื่นไถลตกน้ำ


ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกซ้อมแผนบูรณาการสาธารณภัย ระดับ 2 ประจำปี 2565 โดยมีนางวันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายธีรยุทธ ภูมิภักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิธีและร่วมฝึกซ้อมแผนฯ ณ ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขม เขตหนองแขม

กรุงเทพมหานคร โดยสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำลองสถานการณ์ว่า ในพื้นที่ถนนพุทธมณฑล สาย 3 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม มีเหตุสารเคมีระเบิดเพลิงลุกไหม้อาคารโรงงานผลิตชิ้นส่วนประกอบอุปกรณ์รถยนต์ ซึ่งเป็นอาคารโรงงานขนาดใหญ่ 4 หลัง พื้นที่ 10 ไร่ มีคนงานทั้งหมด 500 คน มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากสารเคมีรั่วไหล ไฟไหม้ อาคารถล่ม รวมถึงมีผู้ประสบภัยติดค้างอยู่บนอาคาร 4 ชั้น และใต้ซากอาคารที่ถล่ม โดยในระหว่างระงับเหตุที่อาคารโรงงาน ปรากฏว่า มีอุบัติเหตุรถยนต์อพยพคนงานพลิกคว่ำ คนงานติดค้างอยู่ในรถยนต์ที่พลิกคว่ำและลื่นไถลตกน้ำ ผู้อำนวยการเขตหนองแขม เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ แต่หลังจากชุดปฏิบัติการทุกชุดรายงานสถานการณ์ ผู้อำนวยการเขตหนองแขมพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นภัยที่มีความรุนแรง ไม่สามารถควบคุมได้ ต้องขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอก จึงแจ้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครรับทราบและทำการประกาศยกระดับ


ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งการอนุมัติยกระดับเป็นสาธารณภัย ระดับ 2 บัญชาการเหตุการณ์โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร อาทิ สำนักงานเขตหนองแขม สำนักการโยธา สำนักการระบายน้ำ สำนักเทศกิจ สำนักผังเมือง สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล สำนักการคลัง (กองโรงงานช่างกล) สำนักสิ่งแวดล้อม (กองกำจัดมูลฝอย) สำนักอนามัย และสำนักการแพทย์ (ศูนย์เอราวัณ) รวมถึงหน่วยงานภายนอก อาทิ ทหาร ตำรวจ การประปา การไฟฟ้า อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อาสาสมัครมูลนิธิ และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน เข้าร่วมฝึกซ้อมแผนดังกล่าวแบบเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ การฝึกซ้อมเป็นการจำลองสถานการณ์สาธารณภัย ระดับ 2 เต็มรูปแบบ Full Scale Exercise เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานภายนอก ทั้งหมด 10 ชุดปฏิบัติการ ประกอบด้วย 1. ชุดปฏิบัติการเผชิญเหตุชุดแรก First Response 2. ชุดปฏิบัติการควบคุมและบัญชาการเหตุ Command and Control Team 3. ชุดปฏิบัติการดับเพลิง Fire Team 4. ชุดปฏิบัติการกู้ภัยที่สูงและที่อับอากาศ Rope Rescue and Confined Space Rescue Team 5. ชุดปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง USAR : Urban Search and Rescue Team 6. ชุดปฏิบัติการกู้ภัยทางน้ำ Water Rescue Team 7. ชุดปฏิบัติการตอบโต้สารเคมีและวัตถุอันตราย HAZMAT : Hazardous Materials Team 8. ชุดปฏิบัติการกู้ภัยอุบัติเหตุจากยานพาหนะและเครื่องจักร Vehicle and Machinery Rescue Team 9. ชุดปฏิบัติการสื่อสารอากาศยานไร้คนขับ Communication and Drone Team 10. ชุดปฏิบัติการทางการแพทย์ Medical Team เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ สามารถบริหารจัดการสาธารณภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความรู้ทักษะในการบริหารจัดการภัยด้วยรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตามหลักการและเป็นมาตรฐานสากล รวมถึงเพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกซ้อมสามารถปฏิบัติงานหลักและให้การสนับสนุน รวมทั้งสนธิกำลังเข้าร่วมปฏิบัติงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า งานด้านสาธารณภัยต้องมีการซ้อม มีการใช้เครื่องมือ ต้องมีการใช้ทีมหลาย ๆ ทีมเข้ามาร่วมกัน ต้องมีการสร้างสถานการณ์เสมือนจริง เพื่อกระตุ้นให้ผู้ซ้อมฝึกการตัดสินใจจากสถานการณ์ โดยการซ้อมในวันนี้มีหลายหน่วยงานที่ร่วมกันฝึกซ้อม มีสถานการณ์ที่กำหนดขึ้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งสถานการณ์เพลิงไหม้ เพื่อให้เราได้ทดสอบชุดผจญเพลิง ในบางสถานการณ์นอกเหนือจากเกิดเหตุเพลิงไหม้แล้ว ยังมีสถานการณ์เรื่องสารเคมีรั่วไหลด้วย หรืออาจมีสถานการณ์ซับซ้อน มีอุบัติเหตุขนาดใหญ่เกิดขึ้นอีกในระหว่างนั้น เช่น เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ เกิดเหตุอาคารที่เพลิงไหม้ถล่มลงมา เพื่อเป็นการประเมินกำลังเจ้าหน้าที่ ศักยภาพความสามารถ เครื่องมืออุปกรณ์ ระบบการทำงาน รวมถึงการทำงานเป็นทีมจากหลายหน่วยงานที่มาทำงานร่วมกันในแต่ละหน้าที่ การเข้าพื้นที่เกิดเหตุ การสนธิกำลังกัน


“สาธารณภัยเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิด หากเกิดขึ้นแล้ว เราต้องพร้อมเข้าระงับเหตุการณ์ ถามว่าอยากให้การฝึกซ้อมวันนี้ราบรื่นไหม ต้องตอบว่าที่จริงอยากให้การฝึกซ้อมราบรื่น แต่ถ้าการฝึกซ้อมไม่ราบรื่นจะดีมาก เพราะจะทำให้เราเห็นว่า ขนาดการฝึกซ้อมยังมีความวุ่นวาย ยังมีปัญหาอุปสรรค ซึ่งสถานการณ์จริงเราไม่รู้ว่าจะมีความยุ่งยากมากกว่านี้อีกกี่เท่า ตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่เราจะนำปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการฝึกซ้อมมาปรับปรุงแก้ไขกัน เพื่อให้การปฏิบัติงานจริงเกิดประสิทธิภาพ” รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าว

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวอีกว่า การฝึกซ้อมในวันนี้จะได้เห็นถึงความพร้อม ความเชี่ยวชาญ และทักษะของแต่ละหน่วยงานในสิ่งที่ตนเองต้องทำ แต่ความพร้อมการเข้าสู่สถานการณ์จะมีความยากที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งพื้นที่การเข้า-ออก ระยะเวลา และประชาชน การซ้อมวันนี้จะไม่มีในส่วนประชาชน ซึ่งในเหตุการณ์จริงจะต้องให้ประชาชนปลอดภัยไว้ก่อน การเข้าถึงพื้นที่จริงอาจจะทำได้ยาก ต้องทำงานแข่งกับระยะเวลาและสถานการณ์ที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำประชาชนออกจากพื้นที่อย่างปลอดภัย ความพร้อมอาจจะลงลดบ้าง ด้วยความซับซ้อนจากสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น แต่เราจะพยายามทำอย่างเต็มที่

การฝึกซ้อมในวันนี้ เราทำให้มีความซับซ้อนเกิดขึ้น เพื่อเวลาเกิดสถานการณ์ขึ้นจริง เราจะได้ใช้เวลาในการคิด การตัดสินใจได้เร็วขึ้น ลดข้อผิดพลาดให้น้อยลง ที่สำคัญ สำนักงานเขตในพื้นที่จะเป็นหน่วยงานหลัก เพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ จะรู้ลึกรู้ในรายละเอียดของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดไม่ให้สาธารณภัยเกิดขึ้นก่อนได้มาก สำนักงานเขตจะสามารถกำกับควบคุมพื้นที่ให้มีความง่ายต่อการเข้าสู่สถานการณ์มากขึ้นในด้านการปฏิบัติงาน การฝึกซ้อมดังกล่าวจะทำให้ทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีความเข้าใจ รู้บทบาทภารกิจหน้าที่ของตน เมื่อเกิดเหตุจะได้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมในการช่วยเหลือประชาชนให้รอดชีวิต และเจ้าหน้าที่ปลอดภัย ลดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน ขอขอบคุณทุกหน่วยงาน ทั้งทหารทุกเหล่าทัพ ตำรวจ อาสาสมัครมูลนิธิ ภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายต่าง ๆ ที่ร่วมกันฝึกซ้อมแผนบูรณาการสาธารณภัยในครั้งนี้.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]