กรุงเทพฯ 11 ก.ค. – กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ส่งเจ้าหน้าที่ลุยสอบโรงพยาบาลเอกชน โฆษณาจำหน่ายแพ็กเกจรักษาโรคโควิด-19 ย้ำผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่อาการรุนแรง ยังคงสามารถใช้สิทธิ UCEP Plus รักษาพยาบาลได้ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
วันนี้ (11 กรกฎาคม 2565) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ว่า มีสถานพยาบาลเอกชนบางแห่ง มีการโฆษณาจำหน่ายแพ็กเกจประเมินอาการ และยารักษาโรคโควิด-19 อย่าง ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) หรือยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) สำหรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 นั้น กรม สบส.ได้มอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งจะมีการตรวจสอบ ทั้งในส่วนของการขออนุมัติโฆษณาก่อนที่จะเผยแพร่ มาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ และที่มาของยารักษาโรคโควิด-19 ที่นำมาจัดจำหน่าย ห้ามนำยาที่ภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนมาจัดจำหน่ายโดยเด็ดขาด หากตรวจพบว่าสถานพยาบาลเอกชนมีการลักลอบนำยาของภาครัฐมาจำหน่าย ก็จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายพระราชบัญญัติสถานพยาบาล และพระราชบัญญัติยา อีกทั้งตัวแพทย์ผู้ให้บริการก็อาจจะถูกดำเนินการในฐานการกระทำผิดจริยธรรมทางการแพทย์ด้วย
ด้าน ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวต่อว่า แม้ปัจจุบันภาครัฐจะมีนโยบายให้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 เข้ารักษาพยาบาลกับสถานพยาบาลตามสิทธิของตน อาทิ สิทธิบัตรทอง ให้เข้ารับการรักษากับหน่วยบริการปฐมภูมิ สถานพยาบาลที่ลงทะเบียนไว้ ร้านยาในโครงการ “เจอ แจก จบ” สิทธิประกันสังคม ให้เข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลคู่สัญญาในระบบประกันสังคม และสิทธิข้าราชการ ให้เข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลภาครัฐ แต่หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เข้าข่ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสีเหลือง หรือสีแดง ก็สามารถเข้ารับการรักษาตามนโยบาย UCEP Plus กับสถานพยาบาลใดก็ได้ โดยสถานพยาบาลจะดำเนินการคัดกรองผู้ป่วย แยกระดับความฉุกเฉิน และแจ้งผลให้ญาติผู้ป่วยทราบ ก่อนนำเข้าสู่การรักษากับสถานพยาบาลของรัฐบาลหรือเอกชน โดยไม่มีการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล จนกว่าผู้ป่วยจะหายจากโรคโควิด-19 เว้นแต่ว่า ผู้ป่วยหรือญาติไม่ประสงค์ที่จะให้ไปรักษาในสถานพยาบาลที่กำหนด หรือประสงค์ไปรักษากับสถานพยาบาลอื่น ก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ทั้งนี้ หากประชาชนพบการกระทำผิดกฎหมาย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการรับบริการกับโรงพยาบาลเอกชน หรือคลินิก สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1426 กรม สบส. เพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป. – สำนักข่าวไทย