สบส.-สพฉ.สอบข้อเท็จจริง รพ.เอกชน ปฏิเสธรักษาชาวไต้หวันถูกรถชน

กรุงเทพฯ 13 ธ.ค. – สบส. และ สพฉ. ลงพื้นที่สอบข้อเท็จจริงโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังย่านพัฒนาการ หลังมีกระแสข่าวปฏิเสธรักษาชาวไต้หวันถูกรถเฉี่ยวชนล่าช้าทำให้เสียชีวิต พบมีมูลจริงบางส่วน


นายชาตรี พินใย ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมด้วยนายไพศาล ก้อนจำปา ผู้ช่วยเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และ พ.ต.ท.ปริญญา ศรีบุญสม ผอ.กลุ่มกฎหมายการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เข้าสอบเท็จจริงผู้ที่เกี่ยวข้องที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังย่านพัฒนาการ หลังพบมีมูลในการปฏิเสธรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บชายชาวไต้หวัน จนเป็นเหตุให้การรักษาล่าช้า ซึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงเวลา 01.50 น. ของวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา

นายไพศาล ก้อนจำปา ผู้ช่วยเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เปิดเผยว่า การสอบข้อเท็จจริงวันนี้ ทางโรงพยาบาลให้ความร่วมมืออย่างดี แต่พบว่ายังมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่สอดคล้องกับพยานหลักฐานที่พบและสอบถามไปก่อนหน้านี้


พ.ต.ท.ปริญญา ศรีบุญสม ผอ.กลุ่มกฎหมายการแพทย์ฉุกเฉิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องของโรงพยาบาลไปแล้ว 3 คน เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์เอราวัณ 1 คน และเจ้าหน้าที่ในที่เกิดเหตุ 2 คน โดยช่วงเวลาจากที่เกิดเหตุไปถึงโรงพยาบาลเอกชน ประมาณ 2 นาที จากนั้นมีการถกเถียงกันหน้าโรงพยาบาลประมาณ 3 นาที ตามคลิปวิดีโอ ก่อนจะส่งตัวไปโรงพยาบาลสิรินธร

สำหรับประเด็นที่ไม่สอดคล้องกับพยานหลักฐานบางส่วน เช่น การสื่อสารที่เข้าใจไม่ตรงกัน เหตุผลที่ไม่ตรงกัน ซึ่งทางโรงพยาบาลมีการอ้างถึงเรื่องทรัพยากรไม่เพียงพอ ซึ่งต่างฝ่ายต่างยืนยันข้อเท็จจริงด้วยเทปบันทึกเสียง

นายชาตรี พินใย ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยว่า ขณะนี้พยานหลักฐาน พยานบุคคล ภาพถ่าย ได้ครบหมดแล้ว จากการตรวจสอบพบหลักฐานบางส่วนว่ามีมูลจริง จึงให้โรงพยาบาลชี้แจงเพื่อความเป็นธรรม อยากให้กรณีนี้เป็นตัวอย่าง ห้ามโรงพยาบาลปฏิเสธคนไข้ในทุกกรณี ต้องช่วยชีวิตเบื้องต้นก่อน ต้องปฏิบัติตามหลักการเบื้องต้นที่ สพฉ. กำหนดไว้ ในการช่วยผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉินก่อน ต้องช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ก่อน


หลังจากนี้ทาง สบส. จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการรับเรื่องร้องเรียนพิจารณากรณีนี้ในสัปดาห์หน้า ส่วน สพฉ. จะมีการตั้งคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน พิจารณาช่วงปลายเดือนธันวาคม หากมีความผิดจริงจะมีโทษ 2 ส่วน คือ โทษตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 36 ซึ่งกำหนดให้ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการ หรือผู้ดำเนินการสถานพยาบาล ผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการของสถานพยาบาล ต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วย ซึ่งอยู่ในสภาพอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพและตามประเภทของสถานพยาบาลนั้นๆ ซึ่งผู้กระทำผิดจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในส่วนของ พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 จะเป็นโทษทางปกครอง มีโทษปรับ 100,000 บาท

ทั้งนี้ สำหรับเคสนี้ ทาง สบส. และ สพฉ. บอกว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน ตามข้อบ่งชี้ผู้ป่วยฉุกเฉิน เนื่องจากผู้ป่วยหมดสติ (และมีการหยุดหายใจ) และทุกสถานพยาบาลไม่สามารถปฏิเสธได้.-416-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตึกถล่มพบเสียชีวิตเพิ่ม

พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย ทีมกู้ภัยเร่งกู้ร่าง

พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย ในพื้นที่โซน B และโซน C มีซากอาคารถล่มทับร่างอยู่ ทีมกู้ภัยเร่งกู้ร่างและค้นหาผู้สูญหายใต้ซากอาคารต่อเนื่อง

ชายวัย 50 ไหว้ขอโทษ ไม่มีเจตนากุเรื่องเมียท้อง 4 เดือน ติดใต้ซากตึก สตง.

ชายวัย 50 ปี ยกมือไหว้ขอโทษ ไม่มีเจตนากุเรื่องภรรยาท้อง 4 เดือน ติดใต้ซากอาคาร สตง.ถล่ม ด้านรอง ผบช.น. เตือนอย่าใช้โอกาสที่มีผู้ประสบเหตุสร้างความสงสารหลอกเอาทรัพย์สิน มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน

ออกแล้ว! ผลตรวจเหล็ก 28 ชิ้น ตึก สตง.ถล่ม พบไม่ได้มาตรฐาน 13 ชิ้น

ผลตรวจตัวอย่างเหล็ก 28 ชิ้น ตึก สตง.ถล่มจากแผ่นดินไหว พบได้มาตรฐาน 15 ชิ้น ไม่ได้มาตรฐาน 13 ชิ้น ยังไม่สรุปเป็นสาเหตุตึกถล่ม ชี้ต้องดูหลายองค์ประกอบ

ข่าวแนะนำ

เริ่มใช้เครื่องจักรหนักเปิดซากอาคาร สตง.ถล่ม

102 ชั่วโมงแล้ว สำหรับปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุอาคาร สตง.ถล่ม หน่วยกู้ภัยจากนานาชาติให้ความหวังว่ายังมีโอกาสเจอผู้รอดชีวิต ทำให้การค้นหาวันนี้ต้องแข่งกับเวลาอย่างเต็มที่

ทองไทยนิวไฮต่อเนื่อง ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 550 บาท

ทองคำไทยผันผวนหนัก ปรับเปลี่ยน 18 ครั้ง ก่อนปิดตลาดปรับเพิ่ม 550 บาท ระหว่างวันขึ้นไปแตะนิวไฮ ทองคำแท่งขายออก 50,700 บาท ทองรูปพรรณขายออก 51,500 บาท ขึ้นไปต่อเนื่อง