ราชวิทยาลัยแพทย์ฯ เตือนรับมือโควิดรอบ2

กรุงเทพฯ 30 พ.ย.- ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ เตือนเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ฝุ่นละออง PM2.5และรับมือโควิด-19 ระลอก 2


พลอากาศโท นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย มีความเป็นห่วงผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชน จากเรื่องของฝุ่นละออง PM2.5 และสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ด้วยความเข้มแข็งของภาครัฐและภาคประชาชนในเกือบตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยสามารถชะลอการระบาดของเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีการสูญเสียค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ แม้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมียอดผู้ป่วยคนไทยรายใหม่เพิ่มขึ้น

รศ. นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลและนายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป ต้องหมั่นตรวจสอบคุณภาพอากาศ เมื่อไหร่ที่ดัชนีคุณภาพอากาศเป็นสีส้ม ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงคือ ผู้มีโรคเรื้อรัง เด็ก ผู้สูงอายุ และ สตรีมีครรภ์ ควรงดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง แต่ถ้าเป็นสีแดง ขอให้ทุกคนหลีกเลี่ยง กรณีคนที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงแล้วหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยต้องใช้หน้ากากอนามัยซ้อนกัน 2 ชั้น ต้องสวมใส่ให้กระชับใบหน้าและจำกัดระยะเวลาการสัมผัสฝุ่นให้น้อยที่สุด


โดย PM2.5 เป็นมลพิษทางอากาศไม่ว่าทั้งจาก ยานพาหนะ การเผาไหม้ในครัวเรือนและที่โล่งแจ้ง ควันและก๊าซจากโรงงานอุตสาหกรรม ฝุ่นจากการก่อสร้าง และ สารที่เกิดจากกระบวนการทางเกษตรกรรม เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดการอักเสบรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาของเนื้อเยื่อปอด ทำให้ในระยะสั้นเกิดโรคปอดอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้นรวมถึงโรคโควิด-19 โรคหืดและโรคถุงลมโป่งพองกำเริบ ส่วนในระยาวจะทำให้สมรรถภาพปอดถดถอยและมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น และเนื่องจากสามารถหลุดรอดผ่านกระแสเลือด ไปทำลายอวัยวะต่าง ๆ ได้ทั่วร่างกายด้วย จึงทำให้เกิดโรคความดันเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเรื้อรังตามมา รวมถึงโรคสำคัญอื่น ๆ อีกมากมาย

ด้าน ผศ. นพ.สมเกียรติ แสงวัฒนาโรจน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประธานชมรมป้องกันและฟื้นฟูหัวใจ สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก เรียกมลพิษในอากาศว่า ฆาตกรที่มองไม่เห็น เพราะสัมพันธ์กับการเพิ่มการตายจากโรคปอดร้อยละ 43 ตายจากโรคมะเร็งปอดร้อยละ 29 ตายจากโรคหัวใจร้อยละ 25 และตายจากโรคหลอดเลือดสมองร้อยละ 24

“มลพิษในอากาศสัมพันธ์กับการตายทุกสาเหตุของคนไทย ซึ่งในปี 2560 มีอัตราการตายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษในอากาศทั้งในและนอกบ้านร้อยละ 28.5 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน (เมื่อเทียบกับอัตราตายจากการบาดเจ็บบนท้องถนนร้อยละ 24.2 ต่อประชากรแสนคน) และมลพิษในอากาศที่ก่อผลเสียต่อสุขภาพชาวโลกและชาวไทยมากที่สุด คือ PM2.5 ซึ่งการป้องกันโรคและลดผลกระทบที่เกิดจาก PM2.5 ด้วยตนเอง นอกจากการใส่หน้ากากอนามัย, ป้องกันมลพิษในอากาศภายนอกบ้านเข้าในบ้าน, ดูดฝุ่น ทำความสะอาดบ้านและระบายอากาศในห้องให้ถ่ายเทได้ดี, ใช้เครื่องกรองอากาศ, ไม่สร้างฝุ่นในบ้าน เช่น จุดฟืนไฟในบ้านแล้ว การดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน ทั้งกายและใจ เรื่อง อ.อาหาร อ.อิริยาบถ และ อ.ออกกำลังใจ ก็สามารถช่วยลดภัยที่เกิดจากมลพิษ PM2.5 ดังกล่าวได้” ผศ. นพ.สมเกียรติกล่าว


ผศ. นพ.โอภาส พุทธเจริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและผู้แทนสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ของการติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกในขณะนี้ยังมีผู้ป่วยจำนวนสูงขึ้น ข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 มีผู้ป่วยประมาณ 60 ล้านราย เสียชีวิตประมาณ 1.4 ล้านราย อัตราผู้เสียชีวิตอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2 มีบางประเทศที่การติดเชื้อเข้าสู่ระลอกที่ 2 หรือ 3 สำหรับในประเทศไทยการติดเชื้อเป็นจากการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ที่มีการระบาดและสามารถตรวจพบจากการการคัดกรองที่สถานกักโรคต่าง ๆ ของภาครัฐบาล โอกาสการระบาดระลอกที่ 2 ในประเทศไทยอาจเกิดจากที่มีผู้ป่วยที่หลุดรอดจากระบบการคัดกรองที่อาจจะเข้ามาตามช่องทางต่าง ๆ ที่ผิดกฎหมาย ดังนั้นการป้องกันการเกิดการระบาดระลอกที่ 2 จึงควรมีมาตรการในการค้นผู้ป่วยเหล่านี้ที่มีโอกาสเข้ามาในที่ชุมชน โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่เข้ามาอาจจะไม่มีอาการและการติดเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ง่ายจากการที่ไวรัสมีการกลายพันธุ์ ที่ทำให้ความสามารถในการติดเชื้อเกิดง่ายขึ้น สำหรับในประเทศไทยที่กำลังจะเข้าสู่ในช่วงฤดูหนาว การที่มีความชื้นลดลง อาจจะทำให้การแพร่กระจายเชื้อเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิม ประกอบกับมีการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่และเป็นวันหยุดยาว จะทำให้คนมาอยู่ในที่ แออัดมากขึ้น จึงควรมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

ในส่วนของการรักษาโรคโควิด-19 ได้มีการพัฒนาองค์ความรู้ที่มากขึ้น ทำให้อัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในห้องไอซียู มีอัตราการตายที่ลดลง แต่อย่างไรก็ตามการป้องกันการติดโรคในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่มีอาการรุนแรงก็เป็นเรื่องที่สำคัญ การรณรงค์ให้ใช้หน้ากากอนามัยและการล้างมืออย่างสม่ำเสมอ ยังเป็นมาตรการที่สำคัญอย่างยิ่ง ในช่วงที่กำลังรอวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19

ศ. นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาวัคซีน โควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีนคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความคืบหน้าการวิจัยวัคซีนทั่วโลก ว่า วัคซีนที่กำลังเข้าสู่การทดสอบในอาสาสมัครทั่วโลกมีประมาณ 66 วัคซีน ทั้งนี้มี 12 วัคซีน (4 เทคโนโลยี)ที่กำลังทดสอบในระยะที่ 3 โดย ผลการทดสอบวัคซีนได้ผลดีมาก มาจาก 3 บริษัท คือ ไฟเซอร์, โมเดินน่า และ แอสตร้าเซนิก้า ซึ่งทั้ง 3 วัคซีน แจ้งผลทดสอบในระยะที่สาม และจากการวิเคราะห์เบื้องต้นสามารถป้องกันการติดเชื้อหรืออาการป่วยรุนแรงของโควิด-19 ได้สูงเกินคาดหมาย ได้แก่ วัคซีนชนิด mRNA ของ ไฟเซอร์ และ โมเดินน่า ได้ผลถึงร้อยละ 95 และวัคซีนชนิดใช้เชื้อไวรัสอื่นเป็นตัวพาของ แอสตร้าเซนิก้า ได้ผลเฉลี่ยร้อยละ 70 (ในกลุ่มย่อยพบว่าได้ผลถึงร้อยละ 90 ) ข้อดีของวัคซีนนี้ คือ ตั้งราคาถูกมากไม่เกินเข็มละ 5 ดอลลาร์สหรัฐและจัดเก็บง่ายที่อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียสได้ผลเฉลี่ยร้อยละ 70 (ในกลุ่มย่อยพบว่าได้ผลถึงร้อยละ 90 ) ของวัคซีนนี้ คือ ตั้งราคาถูกมากและจัดเก็บง่ายที่อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส ดังนั้นคาดว่า จะมีอย่างน้อย 1-2 วัคซีน จะได้รับการรับรองขึ้นทะเบียนโดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ FDA ,อังกฤษและยุโรป เพื่อใช้ในกรณีภาวะฉุกเฉินภายในสิ้นปีหรือต้นปีหน้าอย่างแน่นอน ส่วนความท้าทายของโลก เมื่อไหร่จะมีวัคซีนใช้ทั่วถึงสำหรับประชาชนทั่วไป ที่แน่นอนคือ จำนวนวัคซีนที่จะผลิตได้ในสิ้นปีนี้น่าจะน้อยกว่า 100 ล้านโดส ฉะนั้นคงจะมีให้เฉพาะประเทศที่ได้จองล่วงหน้าไว้แล้วเท่านั้น และคาดว่าวัคซีนคงจะมีการผลิตมากขึ้นเป็นหลายพันล้านโดสภายในสิ้นปีหน้า (2564) แต่อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถผลิตได้เพียงพอสำหรับร้อยละ 50 ของประชากรโลก คือมากกว่า 3,900 ล้านคน ซึ่งต้องฉีดสองเข็ม ก็คือประมาณ 7,800 ล้านโดส

สำหรับประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้เมื่อไหร่ รัฐบาลมีนโยบายคู่ขนาน 3 ด้าน: (1) เข้าร่วมกับเครือข่ายนานาชาติ COVAX ในการต่อรองและจัดซื้อวัคซีน (2) สนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก แอสตร้าเซนิก้า ผลิตวัคซีนภายในประเทศที่บริษัทสยามไบโอซายน์ โดยมีเป้าหมายให้คนไทยได้รับวัคซีน 26 ล้านโดส ภายในปลายปีหน้า (2564) (3) ส่งเสริมการคิดค้นพัฒนาวัคซีนและผลิตได้ในประเทศ

สรุปประเทศไทยจะเริ่มมีวัคซีนใช้สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก น่าจะประมาณกลางปีหน้า และอาจจะมีการนำเข้าวัคซีนอื่น ๆ จากภาคเอกชนเพื่อให้มีการเข้าถึงประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนความคืบหน้าการวิจัยวัคซีนของไทย เป้าหมายสำคัญคือ ประเทศสามารถพึ่งตนเองให้มากที่สุดในการระบาดครั้งนี้ รวมทั้งการระบาดในอนาคต ขณะนี้มีอย่างน้อย 5 หน่วยงาน เป็นภาครัฐ 4 หน่วยงาน ได้แก่ จุฬาฯ, มหิดล, สวทช., องค์การเภสัชกรรม และมีภาคเอกชน 1 แห่งคือ บริษัทไบโอเนทเอเชีย จำกัด กำลังมุ่งมั่นเร่งพัฒนาวัคซีนอย่างจริงจัง ข้อมูลล่าสุด มีสองวัคซีน คือ mRNA vaccine ของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ (เริ่มฉีดในอาสาสมัครประมาณเดือนเมษายน 2564) และ DNA vaccine ของบริษัทไบโอเนทเอเชีย ที่พร้อมจะเข้าสู่การทดสอบในกับอาสาสมัครระยะที่หนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งวัคซีนที่กำลังเตรียมผลิตและทดสอบความพร้อมกับอาสาสมัครคือ plant-based protein vaccine จากบริษัทใบยาและคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ทั้งนี้ วัคซีนชนิด mRNA กำลังเตรียมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมาให้โรงงานผลิตวัคซีนไทย คือ บริษัทไบโอเนทเอเชีย โดยตั้งเป้าหมายเริ่มผลิตในประเทศไทยให้ได้ภายในปลายปีหน้า (2564) ขึ้นอยู่กับการเร่งดำเนินการระดมทุนจากภาครัฐและเอกชนให้เพียงพอและทันท่วงที.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

อุดพนังกั้นน้ำสำเร็จ น้ำท่วมหล่มสักเริ่มคลี่คลาย

เพชรบูรณ์ 21 ก.ย.-น้ำท่วมตัวอำเภอหล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ รวมทั้งย่านการค้า เริ่มลดลงแล้ว หลังเจ้าหน้าที่อุดพนังกั้นน้ำที่พังลงมาได้สำเร็จ และน้ำในแม่น้ำป่าสักลดลง จุดที่พนังกั้นน้ำริมแม่น้ำป่าสักแตกยาวกว่า 10 เมตร ทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมเขตเศรษฐกิจ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่สามารถปิดพนังกั้นน้ำที่พังลงมาได้แล้ว แม้จะยังไม่ 100% ทำให้ยังมีน้ำรั่วซึมเข้ามาบ้าง แต่ช่วยลดปริมาณน้ำจากแม่น้ำป่าสักที่ทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนและอาคารร้านค้าหลายร้อยหลังในย่านการค้าของหล่มสักลงได้ ส่งผลให้น้ำที่ท่วมหลายจุดตั้งแต่เมื่อวานลดลง บางจุดเริ่มเห็นผิวถนนแล้ว และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่อง หลังระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักที่ไหลผ่านตัวอำเภอหล่มสัก ลดลงเฉลี่ยชั่วโมงละ 10 เซนติเมตร จนต่ำกว่าพนังที่ทางเทศบาลเสริมขึ้นมาแล้ว แต่ยังมีบ้านเรือนตามชุมชนที่อยู่ริมน้ำใกล้จุดพนังแตก ถูกน้ำท่วมขังอยู่บ้าง ขณะที่ชาวบ้านหลายครอบครัวเร่งนำข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกน้ำท่วมเสียหายออกมาล้างทำความสะอาด เร่งล้างคราบโคลนภายในบ้านกันบ้างแล้ว หลังต้องเจอน้ำท่วมหนักถึง 2 รอบ ในช่วง 3 สัปดาห์ และกว่าจะอุดพนังกั้นน้ำที่พังลงมาได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าหน้าที่ต้องใช้ความพยายามตลอดทั้งคืน ระดมกำลังคนและเครื่องจักรหนักเข้ากู้สถานการณ์ อุดรอยรั่วซ่อมพนังกั้นน้ำ ตรงข้ามสวนดงตาล ที่พังลงมายาวกว่า 10 เมตร โดยใช้แบริเออร์ กระสอบทรายบิ๊กแบ็ก วางอุดรอยรั่วได้สำเร็จ แม้ตอนนี้ยังคงมีน้ำรั่วซึมเข้ามาจากจุดพนังแตกอยู่บ้าง แต่หากระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักลดลงอย่างต่อเนื่องแบบนี้ คาดว่าสถานการณ์น้ำท่วมในเขตเทศบาลเมืองหล่มสักจะลดลงต่อเนื่อง.-สำนักข่าวไทย

ทบ.ชี้แจงปมกัมพูชาประท้วงไทย ย้ำพื้นที่อยู่ในเขตไทย

กทม. 21 ก.ย.-กองทัพบก ชี้แจงปมกัมพูชาประท้วงไทย ย้ำพื้นที่อยู่ในเขตไทย ไม่ใช่พื้นที่พิพาท กรณีกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ออกแถลงการณ์เมื่อ 20 ก.ย.68 ระบุว่า “กัมพูชาได้ยื่นหนังสือประท้วงและคัดค้านอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลไทย เกี่ยวกับเจตนาที่จะใช้กฎหมายภายในประเทศของไทยกับพลเมืองกัมพูชาในหมู่บ้านโจกเจย และหมู่บ้านไปรจัน ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย โดยมีรายละเอียดกล่าวหาฝ่ายไทยว่า ฝ่ายไทยอ้างสิทธิ์ใช้กฎหมายภายในประเทศกับพลเมืองกัมพูชาในพื้นที่พิพาท โดยการอ้างสิทธิ์ดังกล่าวของไทยละเมิดพันธกรณีตามกฎบัตรสหประชาชาติ (มาตรา 2(3) และ 2(4)) เป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU 2000 ว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ขัดต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ขอเรียกร้องให้ไทยยุติกิจกรรมที่บ่อนทำลายความพยายามลดความตึงเครียด ตามข้อตกลงหยุดยิง พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงต่อกรณีนี้ว่า ฝ่ายไทยมีสิทธิและหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศกับบุคคลที่อยู่ในเขตดินแดนของไทย ซึ่งเป็นหลักการสากลที่ทุกประเทศยอมรับ และขอยืนยันว่า พื้นที่ที่ฝ่ายไทยอาจจำเป็นต้องดำเนินการก่อนนั้น ไม่ได้อยู่ในเขตของพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ อย่างที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือน แต่อยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทยอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักอธิปไตยของรัฐ ส่วนเรื่องพันธกรณีตามกฎบัตรสหประชาชาติ ในมาตรา 2(3) ที่ได้ระบุไว้ว่า “รัฐสมาชิกต้องระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยวิธีสันติ เพื่อไม่ให้สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศตกอยู่ในอันตราย” นั้น ในความเป็นจริงกลับพบว่า ฝ่ายกัมพูชามักจะเป็นผู้ละเมิด อย่างกรณีการปลุกปั่น จัดฉาก […]

จับตาปลาย ก.ย. พายุถี่ขึ้น ลุ้นเคลื่อนเข้าไทย

กรุงเทพฯ 21 ก.ย.- กรมอุตุฯ เผยแนวโน้มเกิดพายุถี่ขึ้นช่วงปลายเดือน ก.ย. ทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ ขณะที่พายุไต้ฝุ่น “รากาซา” แม้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ส่งอิทธิพลต่อร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้หลายพื้นที่มีฝนเพิ่มขึ้น ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักและฝนตกสะสม นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ช่วงปลายเดือนกันยายนนี้มีแนวโน้มเกิดพายุถี่ขึ้นบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 26–27 กันยายน มีโอกาสเกิดพายุลูกใหม่เพิ่มอีก แม้ขณะนี้ยังไม่มีทิศทางชัดเจนว่าจะเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยหรือไม่ แต่ต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปัจจุบัน พายุไต้ฝุ่น “รากาซา” (RAGASA) ยังคงเคลื่อนตัวอยู่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก แม้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ไทยโดยตรง แต่ส่งอิทธิพลต่อสภาพอากาศในประเทศ ทำให้ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขณะเดียวกันมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยก็มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนเพิ่มขึ้น และบางแห่งมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 21–27 กันยายน 2568 พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักและฝนตกสะสม ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ตราด รวมถึงภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เช่น แม่ฮ่องสอน […]

ไทยตอนบนฝนตกหนักบางแห่ง

กทม. 21 ก.ย.-กรมอุตุฯ ไทยตอนบนฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะ จ.แม่ฮ่องสอน ตาก จันทบุรี และตราด ทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร กรุงเทพฯ และปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 60% ของพื้นที่ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ […]