ฟื้นธรรมเนียมการตีระฆังฝรั่งสามใบเถาวัดราชประดิษฐฯ

กทม.29 ส.ค.-“ระฆังฝรั่ง” วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม พระอารามหลวงชั้นเอก และวัดประจำรัชกาลที่ 4 กลับมาดังก้องกังวานส่งสัญญาณกิจสงฆ์อีกครั้ง หลังจากที่คณะอาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ.ได้ประดิษฐ์ชุดควบคุมการตีระฆังอัตโนมัติ เพื่อควบคุมการตีและกำหนดจังหวะการตีระฆังของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม


ดร.ศุภฤกษ์ บุญเทียร และ ดร.ก้องเกียรติ ปุภรัตนพงษ์ ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เล่าถึงที่มาก่อนที่ทางมหาวิทยาลัยจะได้ประดิษฐ์เครื่องควบคุมการตีระฆังอัตโนมัติ ว่า ประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้รับแจ้งจากทางวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามว่า ทางวัดมีความประสงค์ที่จะจัดสร้างระฆังใบใหม่เพื่อทดแทนใบเดิมที่เกิดการแตกร้าว โดยประสานขอความอนุเคราะห์ให้ทางมหาวิทยาลัยฯ ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลของระฆังใบเก่า เพื่อนำไปใช้ประกอบในการจัดสร้างระฆังใบใหม่ให้เหมือนต้นแบบมากที่สุด ซึ่งในครั้งนั้นทางทีมงาน มจธ. นำทีมโดย รศ.ดร.เชาวลิต ลิ้มมณีวิจิตร ได้ประสานงานนำเครื่องวิเคราะห์ส่วนผสมทางเคมีของโลหะเข้าทำการทดสอบส่วนผสมทางเคมีจากระฆังใบเดิมซึ่งเป็นระฆังพระราชทาน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากหนังสือราชประดิษฐพิพิธทรรศนา ระบุว่า ระฆังที่วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาสั่งให้หล่อระฆังจากโรงหล่อ Whitechapel Bell Foundry กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นโรงหล่อที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1570 และยังคงดำรงอยู่จวบจนปัจจุบัน ผ่านบริษัท Colman Palmer & Company เพราะในขณะนั้น สหราชอาณาจักรหรืออังกฤษถือเป็นประเทศที่มีสัมพันธไมตรีต่อสยามมากที่สุดประเทศหนึ่ง


สำหรับระฆังดังกล่าวเป็นระฆังฝรั่ง 3 ใบ แขวนอยู่บนหอระฆังเรียงจาก ใบกลาง ใบใหญ่และใบเล็ก ซึ่งระฆังฝรั่งใบใหญ่มีความพิเศษกว่าระฆังใบอื่น คือ ตอนกลางของระฆังมีจารึกพระปรมาภิไธยย่อ (พระนามย่อ) ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นอักษรภาษาอังกฤษ ตัวพิมพ์ใหญ่ (capital letter) ว่า SPBPMM โดยทั่วไปแล้วมีอักษรเพียง 5 ตัว คือ S.P.P.M.M. ย่อจากพระปรมาภิไธยภาษาอังกฤษ คือ Somdetch Phra Paramendr Maha Mongkut ซึ่งระฆังใบนี้มีอักษร B เพิ่มมา 1 ตัว ใต้พระปรมาภิไธยย่อบนระฆังระบุตัวเลข ค.ศ.1861 ล้อมรอบด้วยดาวหกแฉกหลายดวง ตรงกับ พ.ศ. 2404 หรือ 3 ปีก่อนการสถาปนาวัด บริเวณปากระฆังมีข้อความว่า FOUNDERS LONDON เป็นข้อความที่ระบุถึงการผลิตที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร แสดงให้เห็นว่า ได้ทรงเตรียมการเกี่ยวกับหอระฆังของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามเป็นอย่างดีมาก่อนที่จะตั้งพระอารามแห่งนี้ และต้องการให้เป็นของดีสำหรับวัด

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ระฆังใบใหญ่ได้แตกร้าวไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ จึงทรงพระราชทานระฆังฝรั่งเรือรบสามใบเถาเปลี่ยนถวายเพื่อใช้ตีบอกเวลาประกอบกิจของสงฆ์ตามระเบียบของพระอารามต่อไป เป็นการสืบสานพระราชปณิธานในการอุปถัมภ์พระอารามต่อจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นเครื่องแสดงถึงพระราชศรัทธาในการทำนุบำรุงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ตราบนาน

ภายหลังจากการใช้งานมายาวนาน ระฆังฝรั่งเรือรบสามใบเถา ได้แตกร้าวจนไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ จำแต่ตีเฉพาะในวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น และเปลี่ยนมาใช้การสั่นกระดิ่งเป็นการบอกเวลาประกอบกิจสงฆ์แทนในวันธรรมดา


นอกจากนี้ หอระฆังวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เป็นหอระฆังยอดมงกุฎ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ตั้งอยู่ในเขตสังฆาวาสด้านทิศตะวันออก เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันตกกับสถาปัตยกรรมแบบไทย ที่มีความพิเศษจากหอระฆังแบบไทยทั่วไป คือ ไม่มีบันไดทางขึ้นไปตีระฆัง ใช้การดึงเชือกตีระฆังด้านในโดยดึงสายจากด้านล่างและลั่นระฆังจากด้านในแทนที่จะตีจากด้านนอก

ดร.ศุภฤกษ์ กล่าวว่า ทีม มจธ. ได้เข้าไปวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของระฆัง โดยใช้เครื่องวิเคราะห์ส่วนผสมทางเคมีของโลหะแบบเคลื่อนที่พบว่าระฆังมีส่วนผสมของทองแดงและดีบุก โดยมีดีบุกประมาณ 18-20% ซึ่งฝรั่งเรียกว่า bell metal ส่วนผสมดังกล่าวจะทำให้ได้ระฆังที่มีเสียงที่ไพเราะกังวานมากกว่าโลหะอื่น ถ้าเป็นระฆังที่ผลิตจากทองเหลืองธรรมดาทั่วไป เวลาเคาะเสียงจะไม่หวาน ไม่กังวาน ไม่ดังไกลเหมือนส่วนผสมของโลหะชนิดนี้

หลังจากทางวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมทางเคมีของระฆังแล้ว จึงก็ได้ประสานไปที่กรมสรรพาวุธทหารบก เกี่ยวกับโรงหล่อระฆังที่อังกฤษ ซึ่งทางกรมสรรพาวุธมีข้อมูลติดต่อกับโรงหล่อโลหะเหล่านี้ จึงทำให้ทราบว่า ยังมีโรงหล่อระฆังเก่าแก่ที่ยังเปิดอยู่ 2 โรงงาน น่าจะอยู่ในช่วงเดียวกับระฆังของวัดที่สั่งหล่อขึ้น จนนำไปสู่การหล่อระฆังของวัดในปัจจุบัน

“ซึ่งก็เป็นที่น่ามหัศจรรย์ เพราะผ่านมาถึง 156 ปี ทางโรงงานเดิมยังคงผลิตระฆังอยู่ และโรงงานยังมีข้อมูลเดิมอยู่” ดร.ศุภฤกษ์ กล่าว

พระครูอุทิจยานุสาสน์ หัวหน้าสำนักงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม พร้อมคณะสงฆ์วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม จำนวน 3 รูป เจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากร ผู้แทนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และผู้แทนบริษัท ศิวกรการช่าง จำกัด ได้เดินทางไปที่ประเทศอังกฤษภายหลังจากทราบข้อมูลของโรงงานที่ผลิตระฆัง และติดต่อเป็นเบื้องต้นแล้ว

“เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2557 อาตมาได้เดินทางไปอังกฤษ เพื่อติดต่อโรงงาน Whitechapel Bell Foundry เอารูปไปให้ดู ตอนแรกทางโรงงานบอกว่าไม่ได้ผลิต แต่เมื่อช่างทำระฆังเห็นแบบก็ยืนยันว่าโรงงานเคยผลิตระฆังแบบนี้ และเขาก็พร้อมที่ผลิตระฆังให้เรา” พระครูอุทิจยานุสาสน์ กล่าว

สำหรับชุดระฆังที่สั่งทำ ประกอบด้วย ระฆังใบเล็ก ใบกลาง และใบใหญ่ พร้อมชุดคอนโทรลอิเล็กทรอนิกส์ และมีค้อนไฟฟ้าที่เป็นตัวตีระฆังมาด้วย

“ทางโรงงานแจ้งว่า ปัจจุบันมีเทคโนโลยีกลไกอัตโนมัติที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าเป็นตัวตีแทนกำลังคน ทำให้น้ำหนักการตีเป็นระดับเดียวกัน ซึ่งแพร่หลายในยุโรป อาตมาก็บอกว่า ดี น่าจะทำให้ระฆังเรามีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น เพราะที่ผ่านมาใช้กำลังคนตี ซึ่งอาจจะทำให้ใช้แรงในตีไม่สม่ำเสมอ แรงบ้าง เบาบ้าง แล้วแต่กำลังของคนที่ตี ส่งผลให้ระฆังแตกร้าวง่ายและมีอายุการใช้งานที่สั้นลง” พระครูอุทิจยานุสาสน์ กล่าว

เมื่อปี พ.ศ.2560 วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ได้รับระฆังจากโรงงานผู้ผลิตที่ประเทศอังกฤษทางวัดได้ติดต่อมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง เพื่อให้ช่วยติดตั้งชุดคอนโทรลตีระฆังดังกล่าว เนื่องจากทางวัดไม่มีองค์ความรู้

ดร.ศุภฤกษ์ กล่าวว่า ตนได้ประสานติดต่ออาจารย์ชนากานต์ แคล้วอ้อม จากสาขาวิชาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ช่วยดูว่าจะประกอบอย่างไร เนื่องจากชุดติดตั้งที่โรงงานให้มานั้น มีการบรรจุกล่องแยกชิ้นส่วนพร้อมแนบวงจรไฟฟ้ามาให้ซึ่งจะต้องทำการต่อวงจรและเดินสายไฟเองทั้งหมด

หลังจากติดตั้งเสร็จก็ทดสอบตีระฆังด้วยระบบอัตโนมัติ แต่ปรากฏว่าพบปัญหาเรื่องจังหวะการตีระฆัง ที่ไม่ได้เป็นทำนองโบราณแบบไทย แต่จังหวะการตีมีลักษณะแบบระฆังฝรั่ง ที่ตีไปเรื่อยๆ เสียงดัง เก๊ง เก๊ง เก๊ง ขณะที่ระฆังแบบไทยเราเสียงจะดัง เป้ง เป้ง เป้งๆๆๆ รัวๆ ซึ่งตอนนั้นได้แจ้งทางวัดไปว่า ระบบจังหวะการตีที่ต่างประเทศออกแบบมานั้นไม่รองรับจังหวะการตีแบบไทย ซึ่งหากต้องการให้ใช้งานได้จังหวะแบบไทยจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีกดเองแบบ Manual โดยต้องกดเว้น กดรัว ตามจังหวะการตีที่ต้องการ

“ตอนนั้นก็นึกในใจเกิดปัญหาแล้วจะทำอย่างไร เพราะระบบคอนโทรลเป็นการให้จังหวะตีแบบฝรั่ง พอเอามาติดตั้งจังหวะการตีมันไม่เหมือนแบบไทย เราเลยไปทำตรงนั้น ให้จังหวะเป็นของไทย “

ดร.ศุภฤกษ์ กล่าวว่า ทางทีมงาน ก็พยายามติดต่อไปทางโรงงานผู้ผลิต เพื่อให้แก้ไขชุดคอนโทรลหรือทำให้ใหม่ แต่ปรากฏว่าโรงหล่อได้ขายทอดกิจการไปแล้ว ทำให้ทางมหาวิทยาลัยต้องหาทางแก้ไข จึงได้ประดิษฐ์ชุดควบคุมระบบตีระฆังขึ้นมาใหม่ โดยร่วมกับ คุณสมจิตร์ อัปมะโท นักศึกษาเก่าภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ และคุณประทีป ชาญณรงค์ นักศึกษาเก่าภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในการศึกษาการต่อแผงวงจรชุดคอนโทรล ด้วยโจทย์ที่ทางวัดให้มา คือ การฟื้นธรรมเนียมการตีระฆังฝรั่งสามใบเถาจะเป็นการตีระฆัง สี่ช่วงเวลา คือ เช้า สาย เย็น ค่ำ ในวันธรรมดา และ เพิ่มเป็นบ่าย ในวันพระปกติ วันพระใหญ่และวันสำคัญทางพุทธศาสนา อาทิ วันมาฆบูชา เป็นต้น” ดร.ศุภฤกษ์ กล่าว และบอกว่า

“ผมไปหาวิดีโอจากยูทูปเพื่อฟังเสียงการตีระฆังของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เนื่องจากทางวัดเองไม่ได้บันทึกไว้ หลังจากนั้นก็ส่งไปให้ทางวัดพิจารณา ว่าเสียงตีระฆังจังหวะแบบนี้หรือเปล่า ท่านก็บอกว่าประมาณนี้ แต่มันต้องรัวให้ช้ากว่านี้อีกนิด ช่วงนี้ก็จะต้องเร็วอีกหน่อย ซึ่งก็ไม่มีใครจำจังหวะได้พอดีๆ ทางวัดจึงเสนอแนวคิดเป็นเวลาออกมาเป็นตัวเลขให้เป็นเบื้องต้นเพื่อใช้เป็นหลักในการออกแบบ เช่น เคาะครั้งแรกห่างกันกี่วินาที แล้วเคาะซ้ำกี่ครั้ง แล้วในแต่ละครั้งให้เวลาลดลงเรื่อย ๆ สามวินาที สองวินาที หนึ่งวินาที เขียนเป็นจังหวะให้เรา ทำให้เราทำงานง่ายขึ้น” ดร.ศุภฤกษ์ กล่าว

ด้าน ดร.ก้องเกียรติ กล่าวเสริมว่า “ชุดควบคุมการตีระฆังที่พัฒนาขึ้นใหม่ใช้เวลาประมาณสามเดือนในการทำระบบคอนโทรลระฆังอัตโนมัติ โดยออกแบบการทำงานของระบบให้ง่าย ไม่ยุ่งยาก มีเพียง 4 ปุ่ม ปุ่มที่ 1 สำหรับวันธรรมดา ปุ่มที่ 2 วันพระเล็ก ปุ่มที่ 3 วันพระใหญ่ และปุ่มที่ 4 สำหรับวันพิเศษ เมื่อกดปุ่มเครื่องตีระฆังก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งใน 1 วันจะกดเพียงครั้งเดียว ระบบก็จะทำงานตามช่วงเวลาที่ตั้งไว้”

สำหรับหลักการทำงานของระบบควบคุม เมื่อกดปุ่มที่ต้องการแล้วพอถึงเวลาระบบจะสั่งจ่ายกระแสไฟเข้าไปที่จานแม่เหล็กไฟฟ้า ตัวค้อนจะถูกดึงเข้าหาจานแม่เหล็กไฟฟ้าพร้อมกับเคาะที่ตัวระฆัง จากนั้นสปริงจะทำหน้าที่ดึงค้อนกลับห่างออกจากจานแม่เหล็กไฟฟ้า พอจ่ายไฟอีกทีค้อนก็จะถูกดูดมาเคาะที่ระฆังอีกครั้ง ที่สำคัญจังหวะการเคาะที่ควบคุมด้วยระบบอัตโนมัตินี้ จะช่วยทำให้ตัวระฆังมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น ด้วยจังหวะการตีที่สม่ำเสมอกว่าการที่ใช้แรงคนตี เนื่องจากการตีด้วยคนนั้นบางครั้งความหนัก ความเบา ความแรงในแต่ละวันไม่เท่ากัน และประกอบกับตัวเคาะเดิม คือ กระดิ่ง ซึ่งเป็นเหล็ก ถ้าอยากให้เสียงดัง ก็ต้องออกแรงดึงเชือกให้แรง

“อย่างไรก็ตาม แม้เราไม่สามารถเซ็ตระบบตลอดทั้งปีได้ เนื่องจากปฏิทินวันพระมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี เพราะฉะนั้นหากวันใดตรงกับวันพระทางวัดเพียงแค่กดปุ่มสำหรับวันพระไว้ก่อนเวลาตีระฆังปกติในตอนเช้าและกดปุ่มวันธรรมดาในเช้าวันถัดไป ซึ่งผลทดสอบระบบในช่วงที่ผ่านมาประมาณเดือนกว่า ทั้งในวันพระใหญ่ พระเล็ก เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยังไม่พบปัญหาแต่อย่างใด นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังได้ออกแบบชุดควบคุมแบบแยกระบบระหว่างระฆังแต่ละใบ ทั้งระบบควบคุมเวลาและระบบจ่ายไฟ เพื่อทำให้ง่ายต่อการดูแล ถ้ามีชิ้นส่วนไหนเสียหาย ก็สามารถถอดเปลี่ยนได้ไม่ยุ่งยาก โดยเฉพาะระบบควบคุมเวลานั้นไม่ต้องกังกลเรื่องไฟฟ้าดับเพราะ แม้ปราศจากไฟฟ้าแบตเตอรี่ของระบบควบคุมเวลายังสามารถทำงานต่อเนื่องได้นาน 6 เดือน โดยไม่ต้องมาตั้งนาฬิกาใหม่ เป็นผลให้หลังเกิดไฟดับก็จะไม่กระทบกับช่วงเวลาการตีระฆัง ระฆังก็จะยังทำงานได้ต่อเนื่องตามเวลาที่ตั้งไว้” ดร.ศุภฤกษ์ กล่าว .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ไทย-กัมพูชา ลงนามบันทึกการประชุม JBC ร่วมกัน

กัมพูชา 15 มิ.ย.- ไทย-กัมพูชา ลงนามบันทึกการประชุม JBC ร่วมกัน ซึ่งการหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ประชุมครั้งต่อไปเดือน ก.ย.นี้ ฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 เอกอัครราชทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย และนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา เป็นประธานร่วมในพิธีปิดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 (JBC) และลงนามบันทึกการประชุมร่วมกัน ที่กรุงพนมเปญ การหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร ทั้งสองฝ่ายกล่าวขอบคุณที่การประชุมสำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยเน้นย้ำความสำคัญและประสิทธิภาพของ JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีหลักในการเจรจาเขตแดนระหว่างสองประเทศ การประชุมครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีความยาวทั้งหมดประมาณ 800 กิโลเมตร และมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีภารกิจที่ต้องหารือและดำเนินการร่วมกันต่อไป โดยฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปในเดือนกันยายนนี้ ปัจจุบัน ไทยกับกัมพูชามีกลไกความร่วมมือในประเด็นชายแดนร่วมกัน 3 ระดับหลัก ได้แก่ (1) JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีที่สำคัญในการหารือกันทางเทคนิคและข้อกฎหมายระหว่างประเทศ (2) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป […]

กัมพูชายืนยันไม่รับแผนที่ 1 : 50,000

15 มิ.ย. – กัมพูชาแถลงปฏิเสธแผนที่ 1 ต่อ 50,000 อย่างเด็ดขาด อ้างไทยเขียนขึ้นฝ่ายเดียว ยึดมั่นแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตาม MOU43 เท่านั้น พร้อมยินดีร่วมมือกับไทยด้วยกลไกทวิภาคี ยกเว้น 4 จุดที่นำขึ้นศาลโลก เว็บไซต์ข่าว Khmer Times รายงานภายหลังเสร็จการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม หรือ JBC ที่กรุงพนมเปญ ว่า ฝ่ายกัมพูชาแสดงจุดยืนปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะรับรองแผนที่ที่ฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำใช้อ้างอิงอันเป็นที่มาหลักของปัญหาข้อพิพาทชายแดนที่เรื้อรังมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ทั้งนี้ แผนที่ที่กัมพูชาอ้างว่าฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไม่สิ้นสุดนั้นคือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ซึ่งมีความละเอียดแม่นยำมากกว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่กัมพูชายึดถือ Khmer Times อ้างตามเอกสารข่าวเผยแพร่จากสำนักเลขาธิการกิจการชายแดนเกี่ยวกับการประชุม JBC ที่จัดขึ้นระหว่างฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทย ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายฬำ เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักกิจการชายแดนและประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา และนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศของไทย และประธาน JBC ฝ่ายไทย […]

“ลูกหมี” ชนะคดีฟ้องอดีตดารา ศาลสั่งลูกหนี้ชดใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ย

สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ 13 มิ.ย. – “ลูกหมี รัศมี” ชนะคดีฟ้องอดีตดารา ศาลสั่งลูกหนี้ชดใช้ 2 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ด้าน “ทนายเดชา” เผยหาก 30 วัน ไม่ใช้หนี้ เตรียมยื่นเรื่องยึดทรัพย์-ฟ้องล้มละลาย นางสาวรัศมี ทองสิริไพรศรี หรือลูกหมี นางแบบชื่อดัง พร้อมนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา และนางสาวอำนวยพร มณีวรรณ์ หรือทนายกุ้ง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกรณีลูกหนี้ ซึ่งเป็นอดีตดารานักแสดงชื่อดัง ได้ทำการกู้ยืมเงิน พร้อมจ่ายเช็คเด้ง จำนวน 2 ล้านบาท โดยไม่ยอมชำระคืนตามที่ได้ตกลงทำสัญญากันไว้ ทนายเดชา กล่าวว่า คดีนี้คุณลูกหมีฟ้องลูกหนี้ในความผิดเกี่ยวกับเรื่องสัญญากู้ยืมเงิน โดยเงินต้นจำนวน 2 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ศาลพิพากษาว่า สัญญากู้เงินต้น 2 ล้านบาท เป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด […]

อิสราเอลและอิหร่านโจมตีตอบโต้กันในระลอกใหม่

เทลอาวีฟ 15 มิ.ย. – อิสราเอลและอิหร่านได้เปิดฉากโจมตีตอบโต้กันอีกครั้งในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน ซึ่งจุดชนวนความกังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งในวงกว้างขึ้น หลังจากที่อิสราเอลได้ขยายการโจมตีอิหร่าน ด้วยการโจมตีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก อิหร่านได้ยกเลิกการเจรจานิวเคลียร์ที่สหรัฐเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งการทิ้งระเบิดของอิสราเอลได้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลกล่าวว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้ยังถือว่าไม่มีอะไรที่จะเทียบเคียงกับสิ่งที่อิหร่านจะได้เห็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า การโจมตีของอิหร่านล่าสุดเริ่มต้นขึ้นไม่นานหลังเวลา 23:00 น. ของวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น หรือ ตรงกัล 03.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย เมื่อเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นในนครเยรูซาเลมและเมืองไฮฟา ทำให้ผู้คนราวหนึ่งล้านคนต้องรีบเข้าไปในสถานที่หลบภัย หน่วยบริการพยาบาลกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 คนตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ซึ่งมีเด็กวัย 10 ขวบและหญิงสาววัยราว ๆ  20 ปีรวมอยู่ด้วย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 140 คนจากการโจมตีที่เกิดขึ้นหลายครั้ง สื่ออิสราเอลรายงานว่ามีผู้สูญหายอย่างน้อย 35 คน หลังจากที่ขีปนาวุธพุ่งเป้าไปที่เมืองบัตยัม ซึ่งเป็นเมืองทางใต้ของกรุงเทลอาวีฟ โฆษกหน่วยบริการฉุกเฉินกล่าวว่าขีปนาวุธลูกหนึ่งพุ่งชนอาคาร 8 ชั้นในเมืองนั้น และในขณะที่ผู้คนจำนวนมากได้รับการช่วยเหลือ แต่ก็มีผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกัน ขณะนี้่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามีอาคารกี่หลังที่ถูกโจมตีเมื่อคืนนี้ จนถึงขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตในอิสราเอลล่าสุดอยู่ที่อย่างน้อย 9 ราย และบาดเจ็บกว่า 300 ราย นับตั้งแต่อิหร่านเปิดฉากโจมตีตอบโต้อิสราเอลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

สื่อเกาะติด! นายกฯ เข้าบ้านพิษณุโลก ถกผลประชุม JBC

บ้านพิษณุโลก 16 มิ.ย.- นายกฯ เข้าบ้านพิษณุโลก เรียกถกหน่วยงานความมั่นคง หารือผลประชุม JBC กำหนดแนวทางแก้ปัญหาข้อพิพาทพื้นที่ชายแดน ท่ามกลางสื่อมวลชนเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด ความเคลื่อนไหวของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เช้าวันนี้ (16 มิ.ย.) ได้แจ้งเลื่อนภารกิจการให้ นางสาวสุชาตา ช่วงศรี Miss World 2025 และคณะ Miss World เข้าคาราวะ ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 10.00 น. ไปเป็นวันพรุ่งนี้ (17 มิ.ย. 68) โดยนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมด่วนหน่วยงานด้านความมั่นคง ถึงกรณีผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 หรือ The Sixth Meeting of The Cambodian-Thai Joint Commission on Demarcation for […]

‘รองแม่ทัพภาค 2’ โพสต์ 5 หมายเหตุ สะท้อนปมชายแดน

16 มิ.ย.- ‘รองแม่ทัพภาค 2’ โพสต์หมายเหตุ 5 ข้อ สะท้อนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเจรจา JBC พร้อมตั้งคำถาม “คุยกันดีๆ แล้วทำไมต้องฟ้องศาลโลก?” พลตรี ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 โพสต์หมายเหตุ 5 ประเด็น สะท้อนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

กต.แถลงผิดหวังกัมพูชาไม่ร่วมมือไทย ขาดความตั้งใจแก้ปัญหา

กรุงเทพฯ 16 มิ.ย. – กต.แถลงผิดหวังกัมพูชาไม่ร่วมมือไทย แก้ปัญหาลดความตึงเครียด ขาดความตั้งใจจริงในการใช้กลไกทวิภาคี บนพื้นฐานเพื่อนบ้านที่ดี พร้อมโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา เมื่อ 22.30 น. กระทรวงการต่างประเทศของไทย ออกแถลงการณ์ผลการประชุม JBC ทั้งที่เดิมนัดสื่อเเถลงวันนี้ (16 มิ.ย.) ระบุว่าการหารือมีความคืบหน้าสำคัญ 4 เรื่อง ซึ่งหลักๆ ทั้ง 4 เรื่องในคำเเถลงออกมาตรงกัน ซึ่งการรับรองผลการประชุม JTSC ครั้งที่ 4 สองฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง 45 หลัก และเห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ซึ่งในการเห็นชอบให้เเก้ไขแผนแม่บทว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา จัดทำขึ้นเมื่อปี 2546 (TOR 2003) ก็นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเช่นกัน ส่วนในข้อ 4 เห็นชอบให้มีการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจในพื้นที่ตอนที่ 6 ไทยลงรายละเอียดว่า เป็นพื้นที่จากเขาสัตตะโสม จนถึงหลักเขตแดนที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมอบหมาย JTSC […]

อุตุฯ เผยไทยตอนบนฝนตกหนักบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 40%

กรุงเทพฯ 16 มิ.ย. – กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนัก กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 40% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ส่วนเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส .-สำนักข่าวไทย