อยุธยา 16 ส.ค. – มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานพระพุทธศาสนา และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จัดโครงการ “ถวายความรู้เรื่องการจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และการจัดการทรัพย์สินของวัด” ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา


โดยมี พระพรหมวัชรธีราจารย์ ศ.ดร.อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นายมณเทียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และนางกุลิสราพ์ บุญทับ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน บรรยายพิเศษในหัวข้อ “การจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และการจัดการทรัพย์สินของวัด” ให้ความรู้ในเรื่องการจัดทำประมาณรายรับ-รายจ่ายของวัด, วิธีการรับและเก็บรักษาเงินของวัด, การควบคุมการจ่ายเงินของวัด, การจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของวัด และการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดและการจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีพระสังฆาธิการหรือผู้แทน จำนวน 200-250 รูป เข้าร่วม
นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า สตง. ทำหน้าที่จัดหาวิทยากรบรรยายให้ความรู้เพื่อประโยชน์ในการให้ความรู้และความเข้าใจด้านการเงินและการจัดทำบัญชีที่ถูกต้องและโปร่งใส โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความร่วมมือจากหลายหน่วยงานที่เล็งเห็นว่าควรจะมีการจัดการให้ความรู้ในด้านการจัดการทรัพย์สินให้กับวัดทั่วประเทศ
โดยการจัดทำบัญชีให้โปร่งใสต้องเริ่มจากการแยกแยะประเภทของเงินที่เข้ามา เพื่อการจัดทำบัญชีให้ถูกต้อง เช่น เงินผลประโยชน์ ได้แก่ เงินค่าเช่า ค่าผาติกรรม เงินค่าขายสิ่งของที่เป็นของวัด หรือเงินใดๆ ที่งอกเลยมาจากศาสนสมบัติของวัด ได้รับมาต้องออกใบเสร็จ, เงินการกุศล ได้แก่ ค่ากฐิน ค่าผ้าป่า เงินที่มีผู้บริจาคเจาะจงเพื่อกิจการใดกิจการหนึ่งภายในวัด ได้รับมาต้องออกใบอนุโมทนาบัตรตามระบบโดยต้องนำส่ง/ฝากธนาคารในนามวัด และต้องนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์เงินส่วนตัวของเจ้าอาวาส ได้แก่ เงินปัจจัย เงินที่ถวายโดยระบุเฉพาะเจาะจงเพื่อให้ใช้ในการส่วนตัว
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงข้อเสนอเชิงนโยบายในการแก้ปัญหา คือ การกำหนด “คู่มือบัญชีวัด” ระดับชาติ โดยควรแยกเป็น 3 กลุ่ม แบ่งวัดใหญ่ วัดขนาดกลาง วัดขนาดเล็ก มีระบบติดตามกลาง (เช่น ส่งข้อมูลรายรับ-รายจ่ายผ่านแอปฯ หรือเว็บไซต์ของสำนักงานพระพุทธศาสนา) เป็นต้น
โครงการถวายความรู้เรื่องการจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และการจัดการทรัพย์สินของวัด เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจแก่พระภิกษุสงฆ์หรือฆราวาสที่มีหน้าที่ในการบริหารจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด ส่งเสริมระบบบริหารจัดการการเงินของวัดให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ควบคู่กับความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาลและระบบควบคุมภายใน เพื่อสนับสนุนภารกิจของหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง ได้แก่ สำนักงานพระพุทธศาสนา โครงการนี้จะช่วยวางรากฐาน “วัดต้นแบบธรรมาภิบาล” ที่สามารถขยายผลในระดับภูมิภาค จนถึงระดับประเทศ วัดมีระบบบริหารจัดการที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และตรวจสอบได้ สร้างความเชื่อมั่นและฟื้นฟูศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อวัด.-417-สำนักข่าวไทย