แนะรัฐดึงชุมชนป้องกันเหตุ กระทบท่องเที่ยว

บมจ.อสมท 28 มี.ค. – มีข้อเสนอแนะจากเวทีเสวนา “บทบาทของกระบวนการยุติธรรม ต่ออาชญากรรมความรุนแรงที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ” ว่ารัฐต้องอาศัยภาคประชาชน ชุมชน แจ้งข่าวเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศต่อการท่องเที่ยว


ในการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ 21 ที่สำนักงานกิจการยุติธรรม ร่วมกับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จัดขึ้นมีเวทีเสวนาหัวข้อ “บทบาทของกระบวนการยุติธรรมต่ออาชญากรรมความรุนแรงที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ”

โดยศาสตราจารย์ณรงค์ ใจหาญ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงสาเหตุของอาชญากรรมร้ายแรงและแนวทางการป้องกันและปราบปราม ว่าขึ้นอยู่กับหลายลักษณะ โดยสถิติอาชญากรรมในไทยถูกมองเรื่องมีการก่ออาชญากรรมทำร้ายร่างกายในระดับสูง แม้ประเทศไทยจะมีมาตรการเยียวยาที่ดี แต่มีผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับประเทศที่สามารถการันตีได้ว่าจะจับผู้ร้ายได้ภายในกี่ชั่วโมง หากเกิดเหตุ จึงเป็นสิ่งที่กระบวนการยุติธรรมไทยต้องหาทางป้องกัน วางกลไกพิเศษ อาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชน ชุมชน และผู้บริหารต้องมีนโยบายชัดเจน เพื่อป้องกันการก่ออาชญากรรม มีความร่วมมือกับต่างประเทศในการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งปัญหายาเสพติด และการค้ามนุษย์ เน้นการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งปัจจุบันจับได้และฟ้องคดีเพียงร้อยละ 50 ต้องเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจ ส่วนความร่วมมือกับชุมชน ประเทศไทยเคยมีอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยวในพื้นที่พัทยา ซึ่งเป็นตัวอย่างที่จะขยายสู่การร่วมกันป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่อื่น ๆ ได้


ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ภาพลักษณ์ของไทยเหมือนเหรียญ 2 ด้าน มีทั้งด้านมืดด้านสว่าง ด้านกลางวัน กลางคืน จากข้อมูลของสถาบันในสวิสฯ พบว่าประเทศไทยถูกจัดว่าเชื่อมโยงกับนานาชาติติดอันดับ 1 ใน 50 ซึ่งส่งผลทั้งภาพดีและภาพไม่ดีไปไกลถึงทั่วโลกได้เร็ว ในแง่ดีก็ส่งเสริมภาพลักษณ์ต่างๆ ของไทย แต่เมื่อมีอาชญากรรม จึงแก้ไขยาก กระบวนการยุติธรรมเหมือนล่าช้า ดังนั้นในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จึงต้องสร้างเครือข่ายชุมชนท่องเที่ยว ชุมชนธุรกิจ ขึ้นมาเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแสโดยรัฐต้องให้ความสำคัญ และลงทุนกับสายข่าวหรือคนมากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมรุนแรงที่จะมีผลต่อภาพลักษณ์ประเทศ

ขณะที่นางสาวเอมอร เสียงใหญ่ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า กรมคุ้มครองสิทธิฯ มีแนวทางช่วยเหลือทั้งเหยื่อในคดีอาญา และผู้ก่อเหตุ ที่ได้เข้าถึงสิทธิในการสู้คดี โดยไทยนับเป็น 1 ใน 3 ของประเทศในอาเซียน ที่มีการจ่ายเยียวยาด้วยการให้เงินชดเชย อีก 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งไทยเยียวยาทั้งเหยื่อคนไทย และต่างชาติ ซึ่งครอบคลุมตามเกณฑ์มาตรฐานของยูเอ็น แต่ละปี มีการเยียวยา 10,000-13,000 ราย แต่แม้จะมีระบบเยียวยาที่ดีอย่างไร ก็เห็นด้วยกับแนวทางป้องกันโดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ได้เก็บข้อมูลพื้นที่ที่มีเหยื่ออาชญากรรมซ้ำๆ เช่น ซอยแจ้งวัฒนะ 14 มีเหตุข่มขืนเด็กบ่อยครั้ง ก็ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อตรวจป้องกันเหตุเพิ่มขึ้น.-119-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พ่อเลี้ยงล่วงละเมิด

“ต้นอ้อ” แฉพิรุธพ่อเลี้ยงปมคลิปเสียง-DNA ส่วนเด็กอาการดีขึ้น

“ต้นอ้อ” แฉพิรุธพ่อเลี้ยงปมคลิปเสียง-DNA เชื่อ แม่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แค่เชื่อผัวเพราะลูกเคยโกหก เผย ตอนแม่รู้ความจริงว่าใครทำลูกถึงกับร้องไห้โฮโผกอดลูก ส่วนเด็ก 10 ขวบอาการดีขึ้น แต่ต้องรักษาตัวอีกหลายสัปดาห์

งานแต่งธนกร

วิวาห์ชื่นมื่น “ธนกร-แคทลีน” คนดังการเมือง-นักธุรกิจ ร่วมยินดีครึกครื้น

งานวิวาห์ “ธนกร-แคทลีน” ชื่นมื่น คนดังการเมือง-นักธุรกิจ ร่วมยินดีครึกครื้น ด้าน “ทักษิณ” ไม่ได้มาร่วม แต่ส่งของขวัญแสดงความยินดี

ทรัมป์สั่งปลด

“ทรัมป์” สั่งปลดประธานคณะเสนาธิการร่วมตามแผนปรับปรุงกลาโหม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ออกคำสั่งในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นปลด พลอากาศเอก ซี. คิว. บราวน์ จูเนียร์ (Charles Quinton Brown Jr.) เป็นประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐออกจากตำแหน่ง

ข่าวแนะนำ

“ทักษิณ” ถึงนราธิวาส กลับมาในรอบ 19 ปี

“ทักษิณ” ถึงนราธิวาส บอกคนนราธิวาสน่ารักเสมอ ต้อนรับอบอุ่นกับการกลับมาในรอบ 19 ปี ก่อนเดินทางต่อตามกำหนดเดิม แม้มีระเบิดที่สนามบิน

บึ้มรถกระบะ สนามบินนราธิวาส ก่อน “ทักษิณ” ลงพื้นที่

บึ้มรถกระบะจอดใกล้กับหอบังคับการบิน ท่าอากาศยานนราธิวาส ก่อน “ทักษิณ” ลงพื้นที่สนามบินบ้านทอน ในอีก 50 นาที ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

น้ำป่าหลากท่วม อ.ไทรโยค กลางดึก

ระทึกกลางดึก น้ำป่าหลากท่วมบ้านเรือนประชาชน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ถนนหลายเส้นถูกน้ำป่าพัดขาด จนท.เร่งอพยพประชาชนด้วยความยากลำบาก

Pope at Vatican on Feb 5, 2025 says have a strong cold

โป๊ปฟรันซิสพระอาการวิกฤต

วาติกัน 23 ก.พ.- พระอาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรุดลงอยู่ในขั้นวิกฤตในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา สำนักวาติกันออกแถลงการณ์ฉบับล่าสุดเมื่อวันเสาร์ว่า พระอาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาทรุดลงในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และระบุเป็นครั้งแรกว่า พระอาการของพระองค์อยู่ในขั้นวิกฤตจากโรคระบบทางเดินหายใจคล้ายกับโรคหอบหืดในช่วงเช้าวันเสาร์ ทำให้ขณะนี้พระองค์จำเป็นต้องได้รับออกซิเจนเสริมและการถ่ายเลือด โดยรวมแล้วถือว่า พระอาการอยู่ในขั้นวิกฤตและยังไม่พ้นขีดอันตราย อย่างไรก็ดี พระองค์ยังทรงตื่นตัว และประทับนั่งบนเก้าอี้ตลอดวัน แม้ว่าทรงประชวรมากกว่าวันก่อนหน้านี้ก็ตาม พระสันตะปาปาฟรันซิส พระชนมายุ 88 พรรษา ทรงเข้ารับการถวายการรักษาที่โรงพยาบาลเจเมลลี ในกรุงโรม ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ หลังทรงมีพระอาการหายใจติดขัดต่อเนื่องหลายวัน และตรวจพบว่าปอดอักเสบทั้งสองข้าง ทรงร้องขอให้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพระอาการของพระองค์อย่างตรงไปตรงมา สำนักวาติกันจึงออกแถลงการณ์ชี้แจงความคืบหน้าอาการประชวรของพระองค์ต่อเนื่องทุกวัน แต่แถลงการณ์ฉบับล่าสุดถือเป็นครั้งแรกที่มีเนื้อหาระบุชัดเจนว่า อาการประชวรของพระองค์อยู่ในขั้นวิกฤต ขณะที่แพทย์คาดการณ์ว่า พระองค์จะต้องประทับอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อยตลอดสัปดาห์หน้า ภารกิจต่อสาธารณชนทั้งหมดของพระสันตะปาปาจึงถูกยกเลิกตลอดสัปดาห์ ทั้งพิธีมิสซาประจำวันอาทิตย์ รวมถึงการสวดภาวนาแองเจลัส (Angelus) ตามปกติทุกสัปดาห์ด้วย.-815(814).-สำนักข่าวไทย