“ชาญชัย” เตรียมเอกสารมาแจงเพิ่ม กรณี “ทักษิณ” หากศาลต้องการ

ศาลฎีกาฯ 13 มิ.ย.-“ชาญชัย” ย้ำไม่ใช่คดีการเมือง แต่คือการพิสูจน์ว่า “ทักษิณ” ถูกบังคับโทษจริงหรือไม่ พร้อมเผยเตรียมเอกสารมาแจงเพิ่ม หากศาลต้องการก็พร้อมแจงทันที

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการบังคับโทษตามกฎหมายหรือไม่ เข้าร่วมรับฟังการไต่สวน พร้อมเปิดเผยว่า วันนี้เป็นนัดแรกที่ศาลเรียกทุกฝ่ายเข้ามา เพื่อดำเนินกระบวนการไต่สวนตามคำร้องที่เคยยื่นไว้ก่อนหน้านี้


นายชาญชัย ระบุว่า ตนเดินทางมาเพื่อรับฟังและเตรียมความพร้อม หากศาลเปิดโอกาสให้ชี้แจงเพิ่มเติมจะได้นำเสนอเอกสารหลักฐานใหม่ที่เกี่ยวข้อง โดยยืนยันว่าข้อมูลที่ยื่นไปก่อนหน้านี้มีรายละเอียดจำนวนมาก และหากฝ่ายใดให้ข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตนก็จะเสนอข้อมูลให้ศาลพิจารณาเพิ่มเติม

นายชาญชัย ย้ำว่า คดีนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้มีความถูกต้อง ทั้งยังมองว่า ศาลมีอำนาจเรียกพยานและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน


สำหรับกรณีที่ทนายของนายทักษิณขอขยายเวลาชี้แจงคำร้อง นายชาญชัย เห็นว่าเป็นสิทธิที่สามารถใช้ได้ เพราะศาลได้ออกหมายกำหนดให้ส่งคำชี้แจงภายใน 30 วันหลังได้รับคำสั่ง และหากเพิ่งได้รับหมายในภายหลัง ก็ถือเป็นการนับเวลาใหม่ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ พร้อมระบุว่าศาลอาญามักให้ความเป็นธรรมกับจำเลยเป็นหลัก

ในส่วนที่เกี่ยวกับมติของแพทยสภาซึ่งลงโทษแพทย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ นายชาญชัยกล่าวว่า ทุกองค์ประกอบสามารถเกี่ยวโยงได้ แต่สุดท้ายศาลจะวินิจฉัยจากข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงว่าการบังคับโทษที่มีพระบรมราชโองการให้จำคุกหนึ่งปีนั้น มีการปฏิบัติจริงหรือไม่

นายชาญชัย ระบุด้วยว่า ศาลจะไม่ย้อนพิจารณาคดีเดิม แต่จะพิจารณาเฉพาะประเด็นว่า มีการจำคุกจริงตามคำพิพากษาหรือไม่ โดยจะพิจารณาจากหลักฐาน เช่น เวชระเบียน ใบเสร็จ หรือหลักฐานการรักษาพยาบาล เพื่อยืนยันความชอบด้วยกฎหมายของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ


นายชาญชัย ยังกล่าวถึงประเด็นที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการเลื่อนนัดไต่สวนออกไปว่า ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ซึ่งตนไม่สามารถคาดการณ์ได้ เพราะขณะนี้ยังอยู่ระหว่างกระบวนการไต่สวน และศาลก็ยังไม่ได้อนุญาตให้เปิดเผยรายละเอียดคำร้องที่ตนยื่นไว้ โดยตนมาในวันนี้เพื่อรับฟัง และเตรียมความพร้อม หากศาลเปิดโอกาสให้เพิ่มเติมข้อมูลก็พร้อมที่จะยื่นเอกสารเพิ่มเติม

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีประชาชนจำนวนมากติดตามคดีนี้ และอยากทราบว่าอยากฝากอะไรถึงประชาชนหรือไม่ นายชาญชัย ระบุว่า ขณะนี้ศาลอยู่ในระหว่างพิจารณาหาข้อเท็จจริง โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และตั้งแต่ศาลรับคำร้องของตน ก็เปรียบเสมือนศาลเป็นผู้รับเรื่องร้องเรียนและมีหน้าที่ตรวจสอบกระบวนการทั้งหมดว่าถูกต้องหรือไม่

นายชาญชัย อธิบายเพิ่มเติมว่า ศาลได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอัยการ สำนักงาน ป.ป.ช. หรือราชทัณฑ์ เข้ามาชี้แจงว่าในกระบวนการที่ผ่านมามีความผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นว่า “นายทักษิณ” ได้รับการบังคับโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ เช่น การถูกคุมขังจริงหรือไม่ ระยะเวลารักษาพยาบาลนอกเรือนจำมากกว่า 80 วันนั้น มีหลักฐานทางการแพทย์รองรับหรือไม่

นายชาญชัย ย้ำว่า ศาลไม่ได้กล่าวหาใคร แต่เป็นการไต่สวนเพื่อค้นหาความจริง และศาลมีอำนาจเรียกพยานหรือผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมหากเห็นว่าจำเป็น โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้กระบวนการไต่สวนตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้การตรวจสอบบุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นไปโดยรอบคอบและยุติธรรม

นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า การบังคับคดีนั้นมีบางฝ่ายที่พยายามบอกว่าการบังคับคดีเป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์แต่เพียงฝ่ายเดียวซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะการบังคับคดีนั้นมีการคาบเกี่ยวระหว่างกรมราชทัณฑ์เรือนจำและศาลที่ยังมีอำนาจอยู่ ที่ต้องขอติดตามว่าการบังคับคดีนั้นทำได้ถูกต้องหรือไม่ เมื่อ นายชาญชัย เห็นว่า การบังคับคดีนั้นยังไม่ถูกต้องจึงมาร้องตามข้อบังคับที่ 62 ของข้อบังคับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าบุคคลใดที่พบเห็นว่ามีการกระทำผิดระหว่างบังคับคดีสามารถร้องต่อศาลได้

นพ.ตุลย์ แจงว่าการบังคับคดีไม่ใช่เพียงแค่ของกรมราชทัณฑ์ฝ่ายเดียวเพราะศาลก็ยังมีอำนาจ ซึ่งเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 ที่ไหนทักษิณได้เปลี่ยนสถานที่จากเรือนจำไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจโดยมีความเห็นของแพทย์ที่ราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจให้อยู่ตลอด 180 วันนั้นตนมองว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อาจจะมีส่วนสำคัญถ้าศาลจะเห็นว่าการบังคับคดียังไม่เกิดขึ้นแม้แต่วันเดียว ซึ่งอาจจะมีผลต่อการพิจารณาว่าการบังคับคดีได้เกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ส่วนการพักโทษภายหลังจากรักษาตัวไป 180 วันนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ เพราะหากศาลพิจารณาเห็นว่าไม่ถูกต้องทั้งสองส่วนก็อาจจะทำให้ นายทักษิณกลับมาสู่เรือนจำตามพระบรมราชโองการลดโทษเหลือหนึ่งปี

ด้านนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา เผยว่า คดีนี้เป็นคดีที่จะดำเนินการไต่สวนเพื่อบังคับคดีคือมีเหตุกรณีว่าศาลมีการพิพากษาจำคุกไปแล้วนั้นมีการบังคับโทษให้จำคุกจริงหรือไม่ วันนี้จะมีการไต่สวนหรือไม่นั้นก็ต้องดูบุคคลที่ศาลให้ออกคำชี้แจงมาซึ่งจะมีกรมราชทัณฑ์ราชธาน โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง (ปปช.) และนายทักษิณ ซึ่งแต่ละคนต้องส่งเอกสารเข้ามาและตัวบุคคลก็ต้องมา ซึ่งที่ศาลนัดในวันนี้เป็นสองเรื่องคือการไต่สวนและนัดพร้อมถ้าหากว่ามีพยานมาแล้วและเห็นควรว่าจะไต่สวนก็ควรมีพยานมาซึ่งประเด็นของคดีอยู่แค่ตรงส่วนนี้ ส่วนหากพบว่าการบังคับโทษยังไม่ถูกต้องและเป็นไปตามกฏหมายและใครเป็นผู้กระทำบ้างอันนั้นนั้นศาลจะลงในรายละเอียดเอาไว้และจะดำเนินคดีกันอีกส่วนหนึ่งศาลคงจะทำให้เกิดความกระจ่างและเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อไม่ให้มีข้อสงสัยและให้เวลากัยลูกความตามกฎหมายอย่างเต็มที่

นายนิติธร ยังกล่าวอีกว่า เมื่อศาลใช้ระบบไต่สวนนั้นตนก็เข้าใจว่าศาลคงรวบรวมพยานหลักฐานไปแล้วแต่ส่วนหนึ่งหากศาลเห็นว่าอันนี้เป็นเอกสารสำคัญก็อาจจะออกหมายเรียกให้แพทยสภาส่งมาซึ่งทั้งหมดเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันหมดเพราะทุกฝ่ายที่ทำงานนั้นมาจากรปัญหาเดียวกันคือการบังคับโทษของนายทักษิณ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็จะถูกเรียกเอกสารมาที่ศาล

เมื่อถามว่า ทิศทางนั้นจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นที่นายทักษิณถึงไทยเลยหรือไม่ นายนิติธร เผยว่า ประเด็นอยู่ที่การบังคับโทษว่ามีการบังคับโทษหรือไม่ถ้าหากราชธานบอกว่าบังคับโทษไปแล้วนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แต่ในขณะเดียวกันมีประเด็นปัญหาว่าประกาศคำสั่งระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายบางเรื่องที่ออกมานั้นอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายอาญาเพราะหลักนี้ใช้พรบ.ราชทัณฑ์ แต่ว่ามาตรา หก ของ พรบมาตรฐานนั้นบอกว่าที่ผ่านมาทุกเรื่องที่ต่อจากนี้ก็อยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายอาญา ถ้าการบังคับโทษไม่เกิดขึ้นก็ต้องมีการบังคับโทษ ส่วนแต่ละฝ่ายที่ไม่ได้บังคับโทษให้เป็นไปตามกฏหมายนั้นก็ต้องว่ากันอีกทีนึง

เมื่อถามย้ำว่า หากความจริงของคดีนี้กระจ่างขึ้นมาส่งผลมากน้อยแค่ไหนต่อรัฐบาล นายนิติธร มองว่า รัฐบาลมีส่วนร่วมให้เกิดแบบนี้ขึ้นเพราะตัวนายกรัฐมนตรีจะต้องมีส่วนในการบังคับคดีและการบริหารกระบวนการยุติธรรมซึ่งต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดว่าการบังคับใช้กฎหมายไม่ถูกต้องหรือไม่ ส่วนรัฐมนตรีทุกคน ตั้งแต่อดีตนายกเศรษฐา มาจนถึงนางสาวแพทองธาร ทุกคนเพิกเฉยหมดซึ่งคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานและย้อนกลับไปถึงกรณีที่มีการพักโทษ.-314.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ลิณธิภรณ์” แจงปมสะกดคำผิด ยอมรับผิดพลาดพร้อมแก้ไข

กระทรวงวัฒนธรรม 4 ก.ค.- “ลิณธิภรณ์” ยอมรับดรามาใช้ภาษาไทยสะกดคำผิด พร้อมแก้ไขปรับปรุงตัว รับปากจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก บอก บางครั้งรีบพิมพ์ไม่ได้ตรวจทาน ทำเกิดผลเสียทุกวันนี้ แจงมีปัญหาสุขภาพ อาจทำให้ออกเสียงควบกล้ำไม่ได้ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงดรามาเรื่องการใช้ภาษาไทยในโซเชียลมีเดีย ว่า ตนขอยอมรับอย่างซื่อตรง ว่าบางครั้งในการสะกดคำของตนเองก็มีความผิดพลาด ซึ่งบางครั้งใช้การพิมพ์ด้วยเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือ และได้โพสต์ข้อความไปแล้ว ก่อนจะมารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไป 2-3 ชั่วโมง มันเป็นความผิดพลาด อันนี้ตนยอมรับด้วยความจริงใจ และวันนี้ตนก็เข้าใจดีว่าเมื่อมานั่งตำแหน่งตรงนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือต้องปรับปรุง และคิดว่าหลังจากนี้ความผิดพลาดเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะตนก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน ของประเทศเหมือนกัน รวมถึงอีกสิ่งที่ตนอยากจะบอกคือการออกเสียงควบกล้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบ จากปัญหาสุขภาพ แต่ส่วนหนึ่งตนก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า วันนี้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในภาพนโยบายใหญ่ คงต้องขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยใน รายละเอียดที่ชัดเจน และจะเข้ากระทรวงพร้อมกันในวันที่ 8 กรกฎาคม สำหรับตนหากใครที่เคยติดตาม ก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ พูดเรื่องการศึกษาในส่วนของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเรื่องการลดค่าสอบทีแคส (TCAS) รวมถึงเรื่องการทำโครงการ ด้านสุขภาพภาวะจิต และอาจจะเป็นโครงการหนึ่งที่ตนจะสานต่อ […]

มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ที่บราซิล

ทำเนียบ 3 ก.ค.-มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 17 ที่บราซิล 6-7 ก.ค.นี้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 6 – 7 กรกฎาคม 2568 ร่วมกับผู้นำจาก 10 ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS และประเทศหุ้นส่วนจากหลากหลายประเทศ ที่นครรีโอเดจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยไทยเข้าร่วมในฐานะประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS (Partner Country) สำหรับการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “เสริมสร้างความร่วมมือโลกใต้เพื่อการสร้างธรรมาภิบาลที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยบราซิลในฐานะประธานกลุ่ม BRICS ปีนี้ ให้ความสำคัญกับประเด็นหลัก 6 ด้าน ได้แก่ (1) สาธารณสุข (2) การค้า การลงทุน และการเงิน (3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ธรรมาภิบาลของปัญญาประดิษฐ์ […]

Hun Sen, at event marking ruling party's 74th founding anniversary

ฮุน เซน เรียกร้องปั๊ม ปตท. งดนำเข้าน้ำมันจากไทย

พนมเปญ 3 ก.ค.- นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเรียกร้องให้เจ้าของปั๊ม ปตท.เลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าจากประเทศอื่นแทน สื่อของกัมพูชารายงานว่า นายฮุน เซน พูดถึงเรื่องนี้ในระหว่างการประชุมกับครูและนักเรียนที่ศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมในจังหวัดไพรแวงในวันนี้ เรียกร้องให้เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.ทุกแห่งในกัมพูชาเลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นจากเวียดนาม  มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อปั๊ม แม้ว่า ปตท.จะเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยก็ตาม นอกจากนี้นายฮุน เซนยังพูดถึงเรื่องที่ไทยเคยขู่ว่าจะตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต ห้ามขายเชื้อเพลิง และอื่นๆ ให้กัมพูชาด้วยว่า เมื่อไทยขู่มากัมพูชาก็ตอบโต้ทันที กัมพูชาต้องพึ่งพาตนเองให้ได้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในอนาคตเหมือนกับที่กำลังเผชิญจากไทยในเวลานี้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากไทย แต่กัมพูชาก็ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ของกัมพูชา ประธานวุฒิสภากัมพูชาเน้นย้ำว่า มาตรการทั้งหมดที่กัมพูชาได้ดำเนินไปนั้นเป็นการตอบโต้โดยตรงกับภัยคุกคามจากฝ่ายไทย รวมทั้งการที่ไทยปิดด่านพรมแดนแต่เพียงฝ่ายเดียว เขาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า การเจรจากับไทยจะเริ่มขึ้นได้ ต่อเมื่อฝ่ายไทยจะต้องยอมเปิดด่านทุกจุดอย่างเต็มรูปแบบเหมือนที่เคยทำก่อนวันที่ 7 มิถุนายนแล้วเท่านั้น.-816(814).-สำนักข่าวไทย

เปิด 7 จุดยืน “ปชน.” ทางออกประเทศหาก “แพทองธาร” พ้นเก้าอี้

กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “แพทองธาร” พ้นตำแหน่ง เปิดเงื่อนไขโหวตนายกฯ คนใหม่ พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “นายกฯ แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่ง เพื่อนำพาประเทศไปสู่ทางออกที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับประชาชนทุกคน ดังนี้ 1.สิ่งที่ประเทศต้องการมากที่สุด คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรม และสามารถตั้งทีมบริหารจากความรู้ความสามารถ ไม่ใช่จากการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง2.รัฐบาลที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากสภาชุดปัจจุบัน ทางออกสำหรับประเทศจึงเป็นการจัดให้มี “การเลือกตั้งใหม่” โดยเร็ว3.รักษาการนายกฯ ควรประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้อำนาจที่ตนเองมี ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง4.หากรักษาการนายกฯ ไม่ทำ และมีเหตุใดที่ทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง กระบวนการในการเลือกนายกฯ คนใหม่ จะต้องนำไปสู่การได้มาซึ่งนายกฯ ที่พร้อมเดินหน้าสู่การยุบสภา5.เพื่อให้ประเทศไม่ถูกบีบไปสู่ทางตันหรือการใช้อำนาจนอกครรลองประชาธิปไตย เราพร้อมจะพิจารณาลงมติให้กับผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่คนใดก็ตาม ที่ยอมรับ “เงื่อนไข” ในการเป็นรัฐบาลชั่วคราว โดยทางพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและจะไม่มีใครจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรี 6.“เงื่อนไข” ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา สำหรับนายกฯ คนใหม่ จะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย6.1 การประกาศเส้นตายว่าจะยุบสภาภายในสิ้นปี6.2 การยืนยันภารกิจเฉพาะหน้าที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว (เช่น การดำเนินการให้มีการจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง เพื่อถามประชาชนเรื่องการมี […]

ข่าวแนะนำ

“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม

ก.วัฒนธรรม 4 ก.ค.-“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม แจงข่าวปลอมไทยคืนวัตถุโบราณ 20 รายการ ให้กัมพูชาไม่จริง ชี้ทำตั้งแต่ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” พร้อมสั่งเบรกจัดสรรงบฯ คืนวัตถุโบราณกัมพูชา จ่อแจ้งความคนปล่อยเฟกนิวส์ ปลุกปั่น “กลุ่มปราสาทตาเมือน” ยันอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยไทย ช่วงบ่ายวันนี้ (4 ก.ค.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรก มีข้อที่อยากจะฝากเอาไว้ และอยากจะให้ช่วยกันผลักดัน รวมถึงอยากจะอัปเดตข้อมูลให้ฟัง ซึ่งวันนี้ตนได้ทำการบ้านมาเล็กน้อย และรู้สึกดีใจที่จะได้ฟังจากทุกคนว่า แต่ละหน่วยงานแต่ละฝ่ายทำอะไรกันอยู่บ้าง และในกระทรวงฯ มีอะไรที่อยากให้ดำเนินการเพิ่มเติมบ้าง ประเด็นแรก อยากจะขอชี้แจงเรื่องข่าวปลอม เรื่องการส่งคืนวัตถุโบราณ จำนวน 20 รายการ ให้กับประเทศกัมพูชา ตนขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการคืนวัตถุโบราณให้กับประเทศกัมพูชา มีมาตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งประเทศไทยได้คืนไปแล้ว […]

“สุชัชวีร์” ไขก๊อก “ปชป.” เล็งรวมคนตั้งพรรคใหม่

พรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.ค.- “สุชัชวีร์” ไขก๊อก ลาออก “ปชป.” เตรียมรวมคนตั้งพรรคใหม่ ทำการเมืองระดับประเทศ เน้นพัฒนาคนจากการศึกษา ลั่นถ้าการศึกษาเปลี่ยนไม่ได้ อย่าหวังว่าประเทศไทยจะมีอนาคต ส่อไม่ลงผู้ว่าฯ กทม.ต่อ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาที่พรรคประชาธิปัตย์ในเวลา 10.00 น. เพื่อกราบไหว้พระแม่ธรณีบีบมวยผม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพรรค ดร.สุชัชวีร์ เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าได้ให้เลขานุการส่วนตัวยื่นหนังสือลาจากเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้ว และต้องขอกราบขอบคุณสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าพรรคซึ่งตนได้โทรศัพท์เรียนให้ทราบถึงการตัดสินใจไปแล้ว รวมทั้งขอบคุณกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้เกียรติ ทำงานกับพรรคการเมืองที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ขอยืนยันชัดเจนว่าไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งใด ๆ แต่มาจากอุดมการณ์และความฝันของตนที่ออกมาทำงานการเมือง ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศจริง ๆ เพราะวันนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะที่วิกฤติ และสถานการณ์ขณะนี้รอไม่ได้ ดังนั้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศที่เริ่มต้นจากการพัฒนาคนเรื่องการศึกษา ถือเป็นความตั้งใจอันแน่วแน่และเป็นการตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าจากนี้เป็นต้นไปจะใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ทั้งหมด มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และเริ่มต้นจากการเปลี่ยนเรื่องของการศึกษา ถ้าเราไม่เปลี่ยนเราแพ้เวียดนามแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ตนยอมไม่ได้ เมื่อถามว่าส่วนหนึ่งในเหตุผลการลาออกคือ พรรคประชาธิปัตย์ยังตัดสินใจร่วมรัฐบาลอยู่ใช่หรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า นั่นเป็นการตัดสินใจของพรรค ตนให้เกียรติหัวหน้าพรรคและผู้ใหญ่ในพรรค และไม่ใช่เหตุผลที่ตัดสินใจลาออก เพราะตนมีเหตุผลชัดเจนอย่างที่กล่าวมา ซึ่งสถานการณ์ในประเทศไทยตอนนี้ วิกฤติทางการเมือง […]

ปิดลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ย้ายไปแอปฯ “ทางรัฐ”

4 ก.ค.- “สรวงศ์” รมว.ท่องเที่ยวฯ สั่งปิดลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ชั่วคราว หลังพบปัญหาต่อเนื่อง เตรียมย้ายไปเปิดใหม่ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ยันไม่กระทบผู้ที่ลงทะเบียนรับสิทธิแล้ว นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาการลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่เริ่มเปิดเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนเกิดปัญหาต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วขึ้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่าอยู่ระหว่างพิจารณา 2 แนวทาง คือ ล่าสุดเช้าวันนี้ นายสรวงศ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทย ว่า ล่าสุดยังได้รับรายงานถึงปัญหาการลงทะเบียนมาอย่างต่อเนื่อง จึงสั่งการให้หยุดการลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ผ่านทางเว็บไซต์ www.เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือแอปฯ Amazing Thailand ตั้งแต่บัดนี้ทันที แล้วให้ย้ายไปลงทะเบียนที่แอปฯ “ทางรัฐ” เพราะมีระบบยืนยันตัวตนในแอปฯ อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขั้นตอน ส่วนจะเริ่มได้เมื่อใด ณ เวลานี้ยังตอบชัดเจนไม่ได้ แต่วันนี้ (4 ก.ค.) จะหารือกับทีมเทคนิค ฝ่ายไอทีว่าจะสามารถย้ายระบบมาลงทะเบียนได้เร็วที่สุดเมื่อใด ยืนยันจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด […]

ต้อนรับอบอุ่น “ภูมิธรรม-เดชอิศม์” เข้ามหาดไทยวันแรก

กระทรวงมหาดไทย 4 ก.ค.- “ภูมิธรรม” พร้อม “เดชอิศม์” เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระสังฆราช ก่อนเข้า ก.มหาดไทย วันแรก สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมอบนโยบาย โดยมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นวันแรก โดยมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ร่วมให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายภูมิธรรม นำคณะเข้าถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บริเวณหน้าพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร และเข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ พระตำหนัก และเข้าสักการะสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ณ อาคารสัมฤทธิ์วิทยากร ภายในวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร จากนั้น นายภูมิธรรม และคณะ […]