ภูมิภาค 11 ต.ค. – อิทธิพลพายุไลออนร็อก ส่งผลให้ จ.สกลนคร ฝนตกหนัก บริเวณที่ลาดต่ำเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ส่วน จ.สุรินทร์ มวลน้ำจากนครราชสีมาที่ไหลลงสู่แม่น้ำมูล ที่หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง ต.กระโพ อ.ท่าตูม ระดับน้ำสูงขึ้นจนล้นตลิ่ง บางจุดน้ำทะลักท่วมนาข้าวเป็นบริเวณกว้าง
ค่ำวานนี้ (10 ต.ค.) เกิดฝนตกหนักในเขตอำเภอเมืองสกลนคร จากอิทธิพลพายุไลออนร็อก ส่งผลให้บริเวณที่ลาดต่ำเกิดน้ำท่วมฉับพลัน เช่น บริเวณถนนประชาอุทิศ ใกล้ห้างสรรพสินค้าแม็คโคร ท่วมขังถึงขอบทางเท้า รถเล็กต้องใช้ความระมัดระวัง
ขณะที่อีกจุดบริเวณชุมชนรุ่งพัฒนา ซอย 3, 4, 5 ก็ได้รับผลกระทบ เนื่องจากปริมาณน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในซอยจุดต่ำสุดประมาณ 30-50 เซนติเมตร น้ำไหลเข้าบ้านเรือนประชาชนจนต้องขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง โดยมีเจ้าหน้าที่ ปภ.สกลนคร แขวงการทางสกลนคร เทศบาลนครสกลนคร เข้าดำเนินการเปิดทางน้ำ เพื่อลดระดับน้ำให้เข้าสู่ภาวะปกติ โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ส่วนที่จังหวดสุรินทร์ มวลน้ำจากจังหวัดนครราชสีมาที่ไหลลงสู่แม่น้ำมูลมาถึงแล้ว โดยบริเวณวังทะลุ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีน้ำจากลำน้ำชีไหลมาประจบกับแม่น้ำมูล ที่หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม ระดับน้ำสูงขึ้นจนล้นตลิ่งชนกับคันกั้นน้ำ บางจุดน้ำไหลทะลักเข้าท่วมนาข้าวเป็นบริเวณกว้างแล้ว และยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนั้นนาข้าวของชาวบ้านงิ้ว หมู่ 8 ตำบลยะวึก อำเภอชุมพลบุรี ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพ และอยู่ติดกับแม่น้ำมูล น้ำล้นทะลักเข้าท่วมนาข้าวที่กำลังออกรวงหลายร้อยไร่ และยังคงมีมวลน้ำไหลมาสมทบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้พบว่าปริมาณน้ำยังไหลผ่านเส้นทางบริเวณใกล้สะพานมิตรภาพบุรีรัมย์-สุรินทร์ เชื่อมต่อระหว่างสุรินทร์ไปยังอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่ต้องนำป้ายมาติดเตือนให้ระมัดระวังการสัญจรผ่านไปมา เพื่อความปลอดภัย ขณะที่ชาวนาอำเภอชุมพลบุรี บอกว่าน้ำที่เข้าท่วมนาข้าวเป็นน้ำจากแม่น้ำมูล พื้นที่ต่ำก็จะท่วมเร็ว หากพื้นที่สูงน้ำจะดันเข้ามาท่วมต่อเนื่อง
ที่ลำปาง ตลอดช่วงบ่ายถึงเย็นวานนี้เกิดพายุฝน ลมกระโชก หลายพื้นที่นานหลายชั่วโมง ทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ คาดว่าอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี ซึ่งปลูกอยู่ภายในโรงงานโซฟาแห่งหนึ่ง เขตอำเภอเมืองลำปาง ซึ่งมีบ้านพักรวมอยู่ด้วย หักโค่นล้มลงมาทับบ้านพังเสียหาย รวมถึงรถยนต์อีก 2 คัน
หลังเกิดเหตุเจ้าของบ้านได้เข้าแจ้งความให้พนักงานสอบสวน สภ.เขลางค์นคร เข้ามาตรวจสอบบริเวณบ้าน เพื่อสำรวจความเสียหาย พร้อมเรียกร้องไปยังเจ้าของต้นไม้ที่ล้มทับบ้านมาพูดคุยเจรจาชดใช้ค่าเสียหาย
อย่างไรก็ตาม พายุฝนและลมกระโชกแรงยังทำให้กระแสไฟฟ้าในหลายพื้นที่ของตำบลกล้วยแพะ ดับยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง เนื่องจากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด และต้นไม้หักทับสายไฟ ทำให้เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคลําปางต้องเร่งซ่อมให้กระแสไฟฟ้ามาใช้ได้ตามปกติ
ที่จังหวัดนนทบุรี ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บริเวณซอยข้างโรงเรียนวัดตาล ต.บางตะไนย์ อ.ปากเกร็ด พบนางมาลี นาคพุก อายุ 67 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 26/3 หมู่ 1 ได้ผลกระทบจากน้ำท่วมสูง ทำให้น้ำทะลักเข้าบ้าน เนื่องจากเป็นพื้นที่ต่ำและอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา โดยพบว่ามีน้ำท่วมสูงถึงหน้าอก เวลาจะออกจากบ้านต้องนั่งเรือพาย ผลัดกันไปรับไปส่งคนในบ้านวันละหลายรอบ เพื่อออกไปทำงาน บางครั้งต้องเดินลุยน้ำระดับหน้าอก วอนหน่วยงานช่วยเหลือทำทางเดินเข้าบ้าน
จากการสอบถามนางมาลี เล่าว่า 2 วันที่ผ่านมา น้ำขึ้นสูงมาก ตอนนี้ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำ เพราะมีน้ำผุดขึ้นมาที่พื้นกระเบื้องภายในบ้าน ตอนนี้ห้องน้ำไม่สามารถใช้ได้ และน้ำไม่ไหลมาเป็นเวลา 2 วันแล้ว ที่บ้านมีประมาณ 10 กว่าคน แต่ทุกคนลุยน้ำออกไปทำงานกันหมด ทำให้ตนต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง ต้องระวังเรื่องสัตว์มีพิษ ตอนนี้หน้าบ้านไม่สามารถเดินได้แล้ว เพราะระดับน้ำสูงประมาณคอ ตนไม่รู้จะทำอย่างไร
เป็นห่วงเรื่องทางเดินกับเรื่องการกิน เบื้องต้นอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำสะพานทางเดินให้ เพราะลำบากจริงๆ หน่วยงานเข้ามาไม่ถึงบ้านตนสักที ตอนนี้เครียดมากนอนไม่หลับ
ที่ปทุมธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงสายวานนี้ เกิดเหตุการณ์โกลาหลบริเวณใต้สะพานปทุมธานี 1 ตำบลบางปรอก อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เมื่อจู่ๆ น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นน้ำไหลทะลักข้ามถนนมายังฝั่งที่อยู่ในคันกั้น ส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าขายอาหารจำนวนมาก ทำให้พ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่กำลังมาจับจ่ายและซื้อของกินต่างพากันตื่นตระหนก เพราะเกรงว่าน้ำจะไหลเข้ามาเอ่อท่วม และทำให้ข้าวของเสียหาย เพราะส่วนใหญ่ทุกคนติดตามฟังข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี มาโดยตลอด
จู่ๆ วันนี้น้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเกรงว่าจะเหมือนกับเมื่อปี 54 เช่นเดียวกับชาวบ้านและร้านค้าในพื้นที่ตำบลกระแชง อำเภอสามโคก ก็ได้รับผลกระทบน้ำเอ่อขึ้นมากกว่าทุกวันจนท่วมเข้ามาในร้าน
เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองปทุมธานีรีบนำกระสอบทรายมาวางกั้น เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นทะลักเข้ามา พร้อมทั้งขอให้รถยนต์ที่เข้าไปจอดใต้สะพานนำรถออก พร้อมทั้งห้ามไม่ให้ใครนำรถเข้าไปจอด และคอยเฝ้าดูไม่ให้ใครรื้อกระสอบทรายอีกด้วย.-สำนักข่าวไทย