กำชับพัฒนาคุณภาพชีวิตปชช.ตอนเหนือ

แม่ฮ่องสอน 13 มิ.ย.-“พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่ ตามแก้ปัญหาน้ำ ที่ดิน ไฟป้า PM 2.5 กำชับเร่งช่วยเหลือปชช.เร็ว พัฒนาคุณภาพชีวิตให้พึ่งพาตนเองได้ ลดเหลื่อมล้ำตามนโยบายรัฐบาล


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคเหนือที่จ.แม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ ติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาน้ำ ที่ดินทำกินเกษตรกร ไฟป่า PM 2.5 โดยมีนายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ว่าราชการจัวหวัดแม่ฮ่องสอนและข้าราชการร่วมให้การต้อนรับ โดยรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำและแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และผลการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน

สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำปัจจุบัน จำนวน 7.6 ล้านลบ.ม.คิดเป็น ร้อยละ56.37 ซึ่งดีกว่าปีที่ผ่านมา และเพียงพอต่อความต้องการในปี2565 ส่วนเป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะมีราษฎรได้รับการจัดสรรที่ดินคทช. ครอบคลุม 7อำเภอ จำนวน 21,615คน และผลการป้องกันไฟป่าปี 2565 พบว่ามีจุดความร้อนลดลง 6,731 จุด คิดเป็นร้อยละ 56.35 ซึ่งบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยในปีนี้ จุดความร้อนสะสมเกิดขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 6ปี และสำหรับค่าPM 2.5 ปี 2565 บรรลุเกินเป้าหมาย (ค่าเกินมาตรฐาน37วันจากที่กำหนด39วัน)


พล.อ.ประวิตร  กล่าวชื่นชมการทำงานและมอบนโยบายสำคัญ โดยเน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัดและทุกส่วนราชการเร่งบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ โดยมุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชน อย่างทันท่วงที ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้พึ่งพาตนเองได้ พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชน ให้ทั่วถึงด้วย

จากนั้น พล.อ.ประวิตรและคณะเดินทางไป สหกรณ์ออมทรัพย์ครู จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 5 แห่งให้แก่ผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน ในฐานะประธานอนุกรรมการนโยบายที่ดินจ.แม่ฮ่องสอน และมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาล(คทช.) ให้กับตัวแทนชุมชนจำนวน 4 คน โดยพล.อ.ประวิตรฯ มอบนโยบาย กำชับคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดิน จ.แม่ฮ่องสอน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องน้ำ ไฟฟ้าและเส้นทางคมนาคม พร้อมทั้งให้นำแนวทางสหกรณ์ มาใช้บริหารจัดการในพื้นที่คทช.ให้มีความต่อเนื่อง

พล.อ.ประวิตรและคณะเดินทางไปศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณศูนย์บริการและพัฒนาลุ่มน้ำปายตามพระราชดำริ อ.เมืองแม่ฮ่องสอน เยี่ยมชมกิจกรรมฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ และพบปะประชาชน ก่อนเดินทางต่อไปยังจ.เชียงใหม่เพื่อปฏิบัติภารกิจต่อไป


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยชาวบ้านตลอดแนวโครงการเพิ่มปริมาณต้นทุนน้ำเขื่อนภูมิพล หรือโครงการผันแม่น้ำยวมตั้งแต่อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นจุดสร้างเขื่อนและปากอุโมงค์ผันน้ำ ไปจนถึงชาวบ้านอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะมีอุโมงค์ยักษ์ขุดเจาะผ่าน ชาวบ้านอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะเป็นปากอุโมงค์ผันน้ำได้นัดกันแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว เนื่องจากพล.อ.ประวิตรในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ผ่านความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA) โครงการดังกล่าว ซึ่งชาวบ้านเห็นว่าเป็น EIA ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและแอบอ้างชื่อชาวบ้าน

ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประวิตร ผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขณะที่ชาวบ้านสบเมยยื่นหนังสือผ่านนายอำเภอสบเมย และชาวบ้านอำเภอฮอด ได้ยื่นหนังสือผ่านนายอำเภอฮอด ขณะที่ชาวบ้านอมก๋อยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนจัดกิจกรรมแสดงจุดยืนไม่ให้นำดินจากโครงการขุดเจาะอุโมงค์ผันแม่น้ำยวมมากองทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน ทั้งนี้ หนังสือระบุว่าสืบเนื่องจากที่กรมชลประทานผลักดันโครงการเพิ่มน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล (แนวส่งน้ำยวม) ได้ EIA โดยว่าจ้างมหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นผู้จัดทำตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งรายงานดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของคณะผู้ชำนาญการด้านสิ่งแวดล้อม(คชก.) โดยสำนักงานนโยบายแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในเดือนกรกฎาคม 2564  ท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ นักวิชาการ และประชาชน ที่ได้ส่งเอกสารทักท้วงมาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี

หนังสือระบุว่า เดือนกันยายนปีเดียวกัน รายงานEIA กลับได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยที่หน่วยงานเจ้าของโครงการ และหน่วยงานตรวจสอบ มิได้มีการอธิบายข้อกังวลของประชาชนอย่างเพียงพอ ต่อมากรมชลประทานได้ว่าจ้างบริษัทปัญญาคอนซัลแตนท์ ทำโครงการศึกษาวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล ผลการศึกษาเบื้องต้นที่มีการจัดเวทีที่เปิดเผยต่อสาธารณะล่าสุดระบุว่ามูลค่าการลงทุนของโครงการสูงถึง 172,220 ล้านบาท

หนังสือระบุว่า เครือข่ายประชาชนฯ ได้แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้นับตั้งแต่เสนอโครงการ ระหว่างการจัดทำรายงาน EIA โดยมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ส่งหนังสือร้องเรียนหลายฉบับอย่างต่อเนื่องถึงหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน คณะผู้ชำนาญการด้านสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เกี่ยวกับความไม่เหมาะสมของโครงการ และข้อบกพร่องหลายประการของการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นกระบวนการจัดรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบที่ไม่ครบถ้วน ไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ไม่มีล่ามแปลภาษาท้องถิ่นให้ชาวบ้านเข้าใจได้ การถ่ายภาพกับชาวบ้านและระบุว่ามีการสัมภาษณ์เชิงลึกทั้งที่ไม่มีการสัมภาษณ์แต่อย่างใด  ดังนั้น พวกเราชาวบ้านในฐานะผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการมองเห็นความไม่ชอบธรรม ความไม่โปร่งใส ความไม่น่าเชื่อถือต่อกระบวนการพัฒนาโครงการและการจัดทำ EIA

หนังสือระบุเหตุผลที่คัดค้านว่า 1. ความไม่จำเป็นของการดำเนินโครงการนี้ ที่ที่ต้องการจะใช้ทรัพยากรน้ำจากลุ่มน้ำยวม สาละวิน ไปแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำปิง-เจ้าพระยา ซึ่งการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำควรใช้ทรัพยากรน้ำจากลุ่มน้ำนั้น ๆ 2. โครงการนี้จะมีมูลค่าการลงทุนที่สูงมาก และอาจจะต้องใช้งบประมาณของรัฐร่วมลงทุนกับเอกชน ซึ่งไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจจากผลประโยชน์ด้านการเกษตรและชลประทานที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาะเศรษฐกิจฝืดเคืองจากสภาวะการระบาดของโรคโควิด19 ต่อเนื่อง อาจเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่เกิดประโยชน์สาธารณะและจะเป็นการสร้างภาระหนี้ระยะยาวให้กับประเทศ

3. ชาวบ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง (ชาติพันธุ์กระเหรี่ยง) ที่มีภูมิลำเนาในป่ารอบต่อ 3 จังหวัด อยู่ในเขตพื้นที่ป่า มีวิถีชีวิตที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติจากป่าเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารและรายได้ ชุมชนได้ช่วยกันดูแลรักษาป่าต้นน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์มาตลอดหลายชั่วอายุคน แต่โครงการนี้จะทำให้ชาวบ้านต้องสูญเสียทั้งที่ดิน บ้านเรือน ที่ทำกิน พื้นที่ทางจิตวิญญาณ พื้นที่ป่าไม้ ป่าต้นน้ำ ลำห้วย และแม่น้ำ ที่อยู่ในพื้นที่ชุมชนของเรา ซึ่งหากเกิดผลกระทบจากโครงการนี้ ระบบนิเวศเปราะบางและทรัพยากรธรรมชาจชติจะไม่อาจฟื้นฟูกลับมาให้เป็นดังเดิมได้

“พวกเราเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน ตลอดแนวพื้นที่โครงการ ทั้งเขื่อน สถานีสูบน้ำ แนวอุโมงค์ส่งน้ำ ปากอุโมงค์ส่งน้ำ จุดทิ้งกองดิน และแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวนอย่างน้อย 46 หมู่บ้าน ใน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก อ.สบเมย อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ รวมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์การบริหารส่วนตำบลหลายแห่งในพื้นที่ดังกล่าว จึงขอแสดงจุดยืนว่า พวกเราไม่เห็นด้วยและขอคัดค้านการเดินหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล-แนวผันน้ำยวม  ขอให้ท่านโปรดพิจารณาความคิดเห็นและข้อกังวลใจของพวกเราต่อโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และเป็นการฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง”หนังสือระบุ.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.ตร.รับทราบเหตุปะทะเดือดสงขลา ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ

รัฐสภา 11 ก.ย.- “บิ๊กต่าย” พยักหน้ารับทราบ เหตุปะทะเดือด เจ้าหน้าที่ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ พื้นที่ จ.สงขลา ระบุขอเข้าประชุมก่อน พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาประชุมร่วมกับกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่อาคารรัฐสภา โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่า ได้รับรายงานเรื่องการปะทะเดือด เจ้าหน้าที่ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่บ้านห้วยเต่า สงขลา แล้วหรือไม่ โดยพลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พยักหน้า แต่ไม่ได้ตอบคำถาม ระบุเพียงว่าขอเข้าประชุมก่อน -สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” ชี้เป้าตลก 3 พยางค์ ส่อโยงเส้นเงินวัดพระบาทน้ำพุ

รัฐสภา 11 ก.ย.- “บิ๊กเต่า” ชี้เป้าตลก 3 พยางค์โผล่วันจับ “ทิดอลงกต” ส่อโยงเส้นเงินวัดพระบาทน้ำพุ พบพิรุธ ยังไม่มารายงานตัว พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีทิดอลงกต วัดพระบาทน้ำพุ ที่มีการเปิดเผยออกมาว่า ตลกชื่อ 3 พยางค์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินวัดพระบาทน้ำพุด้วย ว่า มีตลกอีก 1 คนที่ยังเป็นเป้าหมายยังไม่ได้มาแสดงตัวและยังไม่ได้มาให้การ พนักงานสอบสวนจะเรียกมาเอง ซึ่งพบพิรุธเยอะว่าทำอะไรที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามวิธีการที่ทำในการเข้าไปช่วยเหลือ ทิดอลงกต ในการขนย้ายสิ่งของ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ และไม่เหมือนดาราท่านอื่น ที่เป็นการรับจ้างงาน แต่คนนี้น่าจะเป็นคนที่สนิทส่วนตัว เป็นคนที่เคยถูกดำเนินคดีอยู่ เมื่อถามว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เลยใช่หรือไม่ พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ กล่าวว่าเป็นคนลึกลับซับซ้อน ซึ่งเป็นคนที่เคยโผล่ให้เห็นในวันที่ทิดอลงกตถูกจับ -สำนักข่าวไทย

พ.อ.นพ.ธวัชชัย เล่านาที จนท.สวนสัตว์ ลงจากรถ แล้วถูกสิงโตตะปบรุมขย้ำ

กทม. 10 ก.ย.-พ.อ.นพ.ธวัชชัย เล่านาที สิงโตตะปบเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ จากนั้นสิงโตอีก 5 ตัว รุมขย้ำ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ขัดขืนหรือร้องขอความช่วยเหลือ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตอาจารย์และแพทย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หรือเป็นที่รู้จักในฐานะหมอที่มาช่วยเหลือในคดีการเสียชีวิตของแตงโม ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า วันนี้ตนมาเที่ยวสวนสัตว์ โดยได้ขับรถเข้าไปในโซนซาฟารี ขณะนั้นมีรถนักท่องเที่ยวหลายคันเข้าชม เมื่อมาถึงบริเวณโซนสิงโต ก็พบว่ามีรถของเจ้าหน้าที่รายหนึ่งซึ่งเป็นรถของสวนสัตว์จอดอยู่คันเดียว ตอนนั้นตนเองก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะช่วงเวลาดังกล่าวไม่ใช่ช่วงเวลาให้อาหารสัตว์และเจ้าหน้าที่รายนี้อยู่คนเดียว ได้ลงมายืนข้างล่างของรถ ฝั่งคนขับ โดยเปิดประตูทิ้งไว้ แต่ไม่ได้ทำอะไร แค่ยืนเฉยๆ ลักษณะยืนหันหน้า เข้าหารถ หันหลังให้สัตว์ ซึ่งตนก็รู้สึกแปลกอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีต้นไม้บัง ตนก็เลยไม่เห็นว่าในมือถืออะไร จากนั้นประมาณ 3 นาที ก็มีสิงโตตัวหนึ่งค่อยๆ ย่องมาทางข้างหลังช้าๆ ก่อนจะตะครุบเข้าข้างหลังเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวทันที โดยที่เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวไม่ได้มีท่าที ขัดขืน ดิ้นรนต่อสู้ หรือร้องขอชีวิตแต่อย่างใด หลังจากนั้น สิงโตตัวอื่นๆ ก็ค่อยๆ เดินตามมารุมกัดตามที่ปรากฏในคลิป ตนเองไม่รู้จะต้องทำอย่างไร ทำได้เพียงแต่บีบแตรรถ เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวคันอื่น ที่ช่วยกันบีบแตร ผ่านไปประมาณ 10 […]

สิงโตสวนสัตว์เอกชน ลาก จนท.ไปรุมกัด สาหัส

กทม. 10 ก.ย.-สิงโตในสวนสัตว์เอกชน ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ลากไปรุมกัด อาการสาหัส นักท่องเที่ยวบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ พ.ต.อ.นิรุชพล โยธามาตย์ ผกก.สน.คันนายาว เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (10 ก.ย.68) ได้รับรายงานว่า เกิดเหตุสิงโตทำร้ายเจ้าหน้าที่ ภายในสวนสัตว์ของเอกชน จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ลงไปให้อาหาร โดยไม่ปฏิบัติตามกฎของบริษัท จึงทำให้ถูกสิงโตรุมทำร้าย เบื้องต้นอาการสาหัส นำตัวส่งโรงพยาบาล ประสานพนักงานสอบสวนเชิญตัวเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์มาสอบปากคำ และลงบันทึกประจำวัน โดยยังไม่มีญาติของเจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายมาแจ้งความแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักท่องเที่ยวบันทึกไว้ได้ บริเวณส่วนจัดแสดงสิงโต มีรั้วขนาดใหญ่เปิดให้รถเข้า-ออก เป็นพื้นที่เปิด ให้นักท่องเที่ยวขับรถเข้าไปด้านใน มีป้ายกำกับชัดเจนห้ามเปิดกระจกและห้ามลงจากรถ ด้านในจะมีรถของสวนสัตว์จอดดูแลความปลอดภัย และบางช่วงมีการจัดแสดงโชว์ให้อาหารสิงโตที่อยู่ด้านใน.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ไทยฝนฟ้าคะนอง ตกหนักบางแห่ง

กทม. 13 ก.ย.-กรมอุตุฯ รายงานไทยยังมีฝนฟ้าคะนอง และฝนตกหนักบางแห่งในภาคอีสาน ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตะวันออก และใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง และอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน […]

“พล.ท.บุญสิน” ยันยังไม่ดำเนินการโครงการอบรมโดรนเกษตร

กทม. 12 ก.ย.- “พล.ท.บุญสิน” แจงบริษัทเอกชนมามอบของ-ถ่ายรูป พร้อมเสนอโครงการอบรมโดรนเกษตร ยืนยันยังไม่ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อวันที่ 12 ก.ย.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีที่มีบริษัทเอกชนเข้ามาถ่ายรูปร่วมกับแม่ทัพภาคที่ 2 โดยมีการนำโครงการ “อบรมการใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ให้กับทหารเพื่อเป็นการเพิ่มทักษะ เพื่อใช้ในการเกษตร” วานนี้ (11 ก.ย.) ว่า บริษัทดังกล่าวได้เข้ามาพบเหมือนกับพี่น้องประชาชนและบริษัทต่างๆ ที่เข้ามาพบมอบของ เพียงแต่ว่าทางบริษัทนี้เข้ามานำเสนอโครงการโดรน ตนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรมาก เพียงแต่รับฟังไว้ ประมาณ 10 นาที ทางคณะดังกล่าวก็ขอถ่ายภาพ ก่อนเดินทางกลับ “ผมยืนยันว่า ยังไม่ได้มีการดำเนินการทำอะไรเลย ยังไม่ผ่านการตรวจสอบให้รอบคอบ ยืนยันอีกครั้งยังไม่ได้ดำเนินการอะไรทั้งนั้น” พล.ท.บุญสิน กล่าว.-313.-สำนักข่าวไทย

“เฉลิมชัย” ไขก๊อกหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว

พรรคประชาธิปัตย์ 12 ก.ย.-“เฉลิมชัย” ไขก๊อกจากหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว ด้าน “ชัยชนะ” ยันไม่มีขัดแย้ง ในพรรครักกันดี ไม่มีแพแตก นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ยื่นหนังสือลาออกจากหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ว่า ตนก็เพิ่งทราบข่าว โดยไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้ามาก่อน แต่ยืนยันว่าในพรรคไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งอะไร รักกันดี ทุกคนแต่การตัดสินใจลาออกครั้งนี้เป็นอย่างไรต้องไปถามนายเฉลิมชัยเอง แต่ยืนยันว่า หัวหน้าพรรคกรรมการบริหารพรรค ทุกคนมีความรักใคร่กันดี และตนเชื่อว่านายเฉลิมชัยก็เป็นคนหนึ่งที่รักพรรคประชาธิปัตย์ และทำงานให้กับพรรคมาโดยตลอด ซึ่งตนก็รู้สึกเสียดายและใจหายซึ่งที่ผ่านมานายเฉลิมชัย ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณหรือบอกอะไร สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะดำเนินการอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า ก็ต้องดำเนินการตามข้อบังคับพรรคและตามกฎหมาย โดยต้องเรียกประชุมวิสามัญ เพื่อนเลือก หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคใหม่เมื่อถามว่าบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องทำหน้าที่กันต่อไป ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็มาเลือกคัดสรรกันใหม่ และหลังจากนี้ต้องรอดูว่าใครจะเข้ามาบริหารพรรค และกำหนดนโยบายทิศทางพรรคอย่างไร แต่ตนก็เป็นสมาชิกพรรคคนหนึ่งที่ยังยืนหยัด อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่าการที่นายเฉลิมชัย ลาออกตอนนี้ เป็นสัญญาณอะไรหรือไม่เนื่องจาก มีไทม์ไลน์ จะยุบสภา ภายใน สี่ เดือน จะไปสังกัดพรรคอื่นหรือไม่ ได้ชัยชนะกล่าวว่าอย่ามองเช่นนั้น เพราะตนเชื่อว่านายเฉลิมชัย […]

ผลักดัน “นางเขื่อน” พร้อมครอบครัว 7 คน กลับกัมพูชา

จันทบุรี 12 ก.ย. – ตม.ศรีสะเกษ ประสาน ตม.จันทบุรี ส่งตัว “นางเขื่อน” พร้อมครอบครัว รวม 7 คน กลับกัมพูชา หลังถูกกล่าวหาเป็นไส้ศึก และถูกชาวบ้านรวมตัวขับไล่ ทั้งยังพบอาศัยอยู่ในไทยอย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดศรีสะเกษ นำตัวนางเขื่อน ชาวกัมพูชา และสมาชิกครอบครัว รวมทั้งหมด 7 คน เดินทางไปที่ด่านผ่านแดนถาวรบ้านแหลม จ.จันทบุรี โดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจันทบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รอรับตัวอยู่ก่อนแล้ว เพื่อผลักดันกลับประเทศกัมพูชา เนื่องจากที่ผ่านมา นางเขื่อน ถูกชาวบ้านในพื้นที่ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ รวมตัวกันขับไล่ หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็น “ไส้ศึก” คอยส่งข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของทหารไทยให้กับฝ่ายกัมพูชา และยังพบว่าทั้งหมดอาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย จึงดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายและระเบียบการต่างประเทศ เพื่อส่งตัวกลับภูมิลำเนา. – สำนักข่าวไทย