นายกฯ ประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน

ทำเนียบรัฐบาล 22 พ.ย. – นายกฯ ย้ำที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน มุ่งสานต่อความร่วมมือทุกมิติการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน มุ่งสู่ Next Normal พลิกโฉมประเทศไทย


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุซซาลาม เป็นประธานร่วมในการประชุม ร่วมกับผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนและเลขาธิการอาเซียน ซึ่งนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้

ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ชื่นชมบูรไนในฐานะประธาน ชื่นชมความคืบหน้าของความร่วมมือในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เพราะการเคารพซึ่งกันและกัน ร่วมรับมือกับความขัดแย้ง การพัฒนาที่เห็นชอบร่วมกันได้ช่วยเหลือ เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ร่วมรับมือกับความท้าทายวิกฤตการณ์ทางการเงิน เศรษฐกิจ และความท้าทายโควิด-19 ซึ่งการยึดมั่นการเรียนรู้ ระหว่างกันส่งเสริมกลไกที่จะทำให้อาเซียนมีบทบาทนำ ย้ำให้ความสำคัญกับอาเซียนเป็นอันดับต้น สนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียน โดยประธานาธิบดีสีจิ้งผิง เสนอให้ ส่งเสริมสันติภาพร่วมกัน ผ่านการหารือและสร้างหุ้นส่วน จีนต่อต้านการใช้อำนาจเพื่อต่อต้านกันและกัน พร้อมสนับสนุนภูมิภาคอาเซียนที่ปลอดอาวุธนิวเคลียร์ สร้างภูมิภาคที่ปลอดภัยทางด้านสาธารณสุข โดยจะสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติม และถ่ายทอดการผลิตวัคซีน การวิจัยและพัฒนา รวมไปถึงให้ความช่วยเหลือในมิติอื่น ๆ เช่น การจัดการภัยพิบัติ อาชญากรรมข้ามชาติ และรักษาสันติภาพในทะเลจีนใต้ สร้างภูมิภาคที่ไพบูลย์ เปิดการเจรจาการพัฒนา การส่งเสริม RCEP โดยจีนจะนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นในอีก 5 ปี ข้างหน้า และขอให้สมาชิกอาเซียนเข้ามามีส่วนร่วมในระเบียงการค้า สร้างภูมิภาคที่สวยงาม โดยร่วมกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมที่จะจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด และความร่วมมือด้านทะเล สร้างภูมิภาคที่มีมิตรภาพระหว่างกัน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ความร่วมมือของสตรี ความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา การส่งเสริมผู้นำรุ่นเยาว์ และความร่วมมือด้านกีฬา


ประธานาธิบดีจีน ยังเน้นย้ำการธำรงความยุติธรรม ส่งเสริมประโยชน์ของประชาชน และดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งกระชับความร่วมมือระหว่างภูมิภาค ทำให้อาเซียน-จีน มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

ด้านสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ กล่าวยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ครบครอบความสัมพันธ์ที่มีความหมายอย่างยิ่ง ในวันนี้เราได้ขยายความร่วมมือที่ครอบคลุมหลังจากที่มีความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องมากว่า 30 ปี ซึ่งจีนนับเป็นประเทศคู่ภาคีแรกที่ได้ร่วมกับอาเซียน และเป็นคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียน อีกทั้งยังให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในภูมิภาค ผ่านการให้ความช่วยเหลือทางด้านสาธารณสุข จึงขอขอบคุณความพยายามของจีนในการให้ช่วยเหลืออาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวแสดงความยินดีต่อวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความสัมพันธ์ฯ ในฐานะ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน” ซึ่งจะขยายความร่วมมือ ก้าวสู่ทศวรรษใหม่ร่วมกันอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน นอกจากนี้ ความสัมพันธ์อาเซียน-จีนยังเป็นเสาหลักความร่วมมือเพื่อส่งเสริมสันติภาพที่ยั่งยืนร่วมกันของภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงนามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea:DOC) เมื่อปี 2545 และล่าสุดในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้านในปีนี้ อีกทั้งการเป็นคู่ค้าสำคัญของกันและกัน และได้ร่วมกันต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก ซึ่งล้วนเป็นพัฒนาการสำคัญให้ความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันแนบแน่นยิ่งขึ้นในอนาคต


นายกรัฐมนตรียังแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประชาชนจีน ในโอกาสครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมชื่นชมความสำเร็จด้านการพัฒนาประเทศเพื่อสร้างสังคมกินดีอยู่ดีอย่างรอบด้าน และการเป็นมหาอำนาจของโลกที่มีความรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่นานาประเทศ รวมทั้งชื่นชมวิสัยทัศน์ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่มุ่งสร้าง “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ” แสดงถึงความมุ่งมั่นของจีนที่จะรับมือกับประเด็นท้าทายร่วมกัน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของอาเซียนในการเสริมสร้างประชาคมที่เข้มแข็งและความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เผยถึงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาศักยภาพของประชาชนให้พร้อมก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และประเด็นท้าทายอื่น ๆ มุ่งสู่ Next Normal ด้วยการพลิกโฉมประเทศไทย โดยนำเสนอ 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.เน้นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความกินดีอยู่ดี มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาช่องว่างทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนบนหลักการของความสมดุลตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และอาเซียนสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวอย่างความสำเร็จของจีนในการขจัดความยากจน และความหิวโหย การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารผ่านนโยบาย “คลีนเพลท” ฟื้นฟูชนบทที่เน้นการกระจายความเจริญ โดยอาจพิจารณาส่งเสริมการทำการตลาดร่วมกัน รวมทั้งสนับสนุนบทบาทของจีน ทั้งในอาเซียนและอนุภูมิภาค ผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งไทยจะเข้ารับตำแหน่งประธานร่วมกับจีนในปี 2565 และ ACMECS ซึ่งจีนเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนสำคัญ

2.มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมจากฐานราก ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนทุกช่วงวัย ผ่านการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะ MSME ผู้ประกอบการสตรี และกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ เพื่อให้สามารถรับมือกับยุค 4IR และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยอาเซียน-จีนควรส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่ไปกับการเร่งสร้างสังคมดิจิทัลเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในยุค Next Normal

3.การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่สร้างความสมดุลของสรรพสิ่งและความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งรวมถึงอาหาร พลังงาน และการทำนุบำรุงสิ่งแวดล้อม ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะสานต่อบทบาทผลักดันความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก มุ่งเน้นการเสริมสร้างความสมดุลของสรรพสิ่งและความยั่งยืนอย่างครอบคลุมในทุกมิติ เชื่อมโยงกันอย่างสมดุลของเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว โมเดลเศรษฐกิจ BCG และพร้อมจะยกระดับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคเน้นย้ำความสำคัญของดุลยภาพเชิงยุทธศาสตร์ในสถาปัตยกรรมของภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลางบนพื้นฐานของหลักการ 3 เอ็ม ซึ่งคือ Mutual Trust Mutual Respect และ Mutual Benefit เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการฟื้นฟูของทุกประเทศจากความบอบช้ำที่เกิดจากโควิด-19 และยืนยันเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของไทยเพื่อร่วมมือในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนของเราให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ซึ่งในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้กล่าวตอบนายกรัฐมนตรีว่าประเทศไทยถือเป็นประเทศผู้ประสานงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอาเซียน และจีนขอสนับสนุนไทยในการเป็นเจ้าภาพเอเปคปีหน้า.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]