รัฐสภา 25 ก.พ.-รัฐสภาถกร่างแก้ รธน.วาระ 2 ไม่ห้ามแม่น้ำ 5 สาย เป็น ส.ส.ร. แต่ยังคงห้ามพระภิกษุสามเณร และให้ ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเหมือนเลือก ส.ส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมร่วมกันของรัฐสภา วันนี้ (25 ก.พ.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ในวาระที่ 2 เรียงรายมาตราต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยหลังเห็นชอบให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนแล้ว ได้อภิปรายเกี่ยวกับคุณสมบัติของบุคคลที่จะเป็น ส.ส.ร
โดยสมาชิกรัฐสภาที่สงวนคำแปรญัตติ เช่น ส.ส.ฝ่ายค้าน ส่วนใหญ่ได้อภิปรายถึงคุณสมบัติของบุคคลที่จะเป็น ส.ส.ร. ว่าไม่ควรเป็นบุคคลซึ่งมีลักษณะต้องห้ามไม่ให้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส., เป็นข้าราชการการเมือง, เป็น ส.ส. และ ส.ว. หรือรัฐมนตรี ที่สำคัญไม่ควรเป็นบุคคลที่มาจากแม่น้ำ 5 สาย เช่น เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญนี้, เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปี 2557, เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ และเคยดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากไม่ต้องการให้มีการสืบทอดอำนาจ
ขณะที่ น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายกรณีการห้ามไม่ให้พระภิกษุสามเณรมีส่วนร่วมในการเป็น ส.ส.ร. เนื่องจากเห็นว่า การร่างรัฐธรรมนูญจะต้องให้สิทธิทุกคนได้แสดงความเห็นอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากกลไกของรัฐต้องเข้าไปดูแลคณะสงฆ์ อีกทั้งยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน
ทำให้นายเสรี สุวรรณภานนท์ กรรมาธิการ ยืนยันว่า คุณสมบัติลักษณะต้องห้ามที่คณะกรรมาธิการบัญญัติไว้เป็นมาตรฐานที่เหมาะสมแล้ว ส่วนข้อเสนอที่จะให้พระสงฆ์เข้ามาทำหน้าที่ใน ส.ส.ร.นั้น เนื่องจากพระสงฆ์อยู่ในสถานะที่เคารพสักการะ หากพระสงฆ์มีส่วนร่วมทางการเมือง เกรงว่าจะเกิดความเห็นที่แตกต่าง อาจส่งผลให้ประชาชนไม่เคารพพระสงฆ์ เกิดความเสื่อมศรัทธาในศาสนา และมีปัญหาตามมา ซึ่งไม่ได้เกิดจากความรังเกียจ หรือไม่ต้องการให้พระสงฆ์เข้ามายุ่งทางการเมือง
สำหรับข้อท้วงติงเกี่ยวกับประเด็นที่ไม่ควรให้บุคคลที่มาจากแม่น้ำ 5 สาย เข้ามาเป็น ส.ส.ร.นั้น ถือเป็นความคิดที่สามารถคิดได้ แต่ข้อเสนอดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความพยายามบ่งชี้ว่า สมาชิกวุฒิสภาไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มาจากประชาชนโดยตรง ฉะนั้น ข้อเสนอดังกล่าวถือว่าเป็นเพียงข้ออ้าง หรือต้องการก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่ และอาจนำไปสู่ความพยายามให้วุฒิสภาไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งการเขียนรัฐธรรมนูญต้องใช้หลักการสำคัญ มีเหตุมีผล ใช้ความเป็นผู้ใหญ่ในการตัดสินว่า บุคคลใดสมควรจะอยู่ในตำแหน่งใด
ที่สุดแล้วที่ประชุมมีมติเห็นชอบในมาตรา 256/3 ตามที่คณะกรรมาธิการมีการแก้ไข ด้วยคะแนนเสียง 539 ไม่เห็นด้วย 50 เสียง งดออกเสียง 17 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ขณะเดียวกัน ยังมีมติเห็นชอบกับคณะกรรมาธิการที่มีการตัดมาตรา 256/4 เท่ากับไม่ห้ามคนจากแม่น้ำ 5 สาย เป็น ส.ส.ร. แต่ยังคงห้ามพระภิกษุสงฆ์
ส่วนมาตรา 256/5 เกี่ยวกับการกำหนดเขตเลือกตั้ง ส.ส.ร. ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีกรรมาธิการและสมาชิกสงวนความเห็นไว้อย่างหลากหลาย ซึ่งสมาชิกรัฐสภาบางส่วนเสนอให้จำนวนสมาชิก ส.ส.ร.ในแต่ละจังหวัดจะพึงมี ให้ใช้จำนวนประชากรทั้งประเทศเฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิก ส.ส.ร. จำนวน 190 คน ซึ่งจำนวนที่ได้รับถือว่าเป็นจำนวนประชากรต่อสมาชิก ส.ส.ร. 1 คน ขณะที่บางส่วนเสนอให้มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ใช้วิธีการออกเสียงโดยตรงและลับ ซึ่งให้แต่ละเขต เลือกตั้ง ส.ส.ร.ได้เขตละ 1 คน
โดยนายวิเชียร ชวลิต กรรมาธิการ และนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมาธิการ เสนอให้มีการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.ร. จำนวน 200 เขต ในลักษณะเดียวกับการแบ่งเขตเลือกตั้ งส.ส. ซึ่งจะให้ประชาชนเกิดความเข้าใจได้ง่าย ไม่เกิดความสับสน และสามารถตัดสินใจเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเมือง พร้อมแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เพราะจะทำให้คนที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลสามารถเข้ามาได้ ดังนั้น หากมีการแบ่งเป็นเขตเล็ก จะทำให้ ส.ส.ร. มีความใกล้ชิดและสามารถเข้าถึงประชาชนได้ง่าย
ที่สุดแล้วที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับการแก้ไขของนายวิเชียร ชวลิต และคณะกรรมาธิการที่สงวนความเห็นให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตละ 1 คน เหมือนการเลือกตั้ง ส.ส. แทนเขตจังหวัด ด้วยคะแนนเสียง 395 เสียง ไม่เห็นด้วย 18 เสียง งดออกเสียง 232 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง.-สำนักข่าวไทย