รัฐสภา 9 ก.ย.- ฝ่ายค้านซัดรัฐบาลล้มเหลวแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปิดกั้นเยาวชน เป็นรัฐบาลที่มีม็อบมากสุด แนะนายกฯ ลาออกเปิดทางประเทศ “อนุดิษฐ์” 3 นิ้วให้คำมั่น เอาประชาธิปไตยคืนกลับมา ใช้สภาฯ แก้ รธน.หาทางออกประเทศ ด้าน “พิธา” ระบุ นายกฯ ไม่มีภาวะผู้นำ ฝากให้คิด ไม่อยากให้กลับไปสู่จุดรัฐประหารอีก
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้ (9 ก.ย.) เริ่มเวลา 10.00 น. มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี เรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตทางการเมือง
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม พรรคเพื่อไทย แถลงหลักการและเหตุผล ในการยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปในครั้งนี้ ว่าเป็นผลมาจากสถานการณ์ของประเทศ ทั้งผลกระทบที่เกิดจากโรคโควิด-19 จนส่งผลให้เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยหดตัวอย่างรุนแรง ประกอบกับการคลังของรัฐบาลมีความเปราะบาง จนต้องกู้เงินจำนวนมาก มาใช้ในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ยังเกิดสถานการณ์ทางการเมือง ที่เป็นผลมาจากความไม่ชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาล นำมาสู่การชุมนุมของกลุ่มนิสิต นักศึกษา และประชาชน ออกมาเรียกร้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่รัฐบาลกลับทำให้สถานการณ์มีความตึงเครียดมากขึ้น ส่งผลต่อการฟื้นฟูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
“พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงเห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีความเปราะบาง และเป็นภัยอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงเสนอญัตติอภิปรายครั้งนี้” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความล้มเหลวในการบริหารสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่ประชาชนยังคงลำบากในยุคข้าวยากมากแพง ขณะที่นายกรัฐมนตรีถูกตั้งฉายา ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ก่อหนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และกำลังจะมีฉายาว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่เกิดการชุมนุมมากที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเยาวชนไม่เห็นอนาคตของตัวเอง จนต้องออกมาชูสามนิ้ว ผูกริบบิ้นขาว แต่รัฐบาลกลับตอบโต้โดยการคุดคาม ตามจับตั้งแต่เด็กอนุบาล จนถึงเด็กมหาวิทยาลัย ทำให้โรงเรียนกลายเป็นสถานที่ไม่ปลอดภัย จึงต้องการให้ประวัติศาสตร์หน้านี้จบในสภาฯ รุ่นเรา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.อ.อนุดิษฐ์ ยังได้ชู 3 นิ้วเป็นคำมั่นสัญญาปฏิญาณตนต่อประชาชน ว่าจะขอคืนอำนาจอธิปไตยกลับให้ประชาชน จะใช้รัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อหาทางออกประเทศ เรียกร้องเจ้าหน้าที่รัฐยุติใช้ความรุนแรง ยุติการคุกคาม ออกหมายเรียก และต้องยุติรัฐธรรมนูญเผด็จการ โดยการตั้ง ส.ส.ร. และคืนอำนาจให้กับประชาชน เพราะเห็นว่ากติกาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นต้นเหตุของปัญหา และเป็นข้อเรียกร้องหลักของกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหว และขอให้นายกรัฐมนตรียกเลิกหมายจับกลุ่มที่ออกมาชุมนุม เปลี่ยนคุกคามมาเป็นคุ้มครอง และเปิดเวทีรับฟังความเห็นจากเยาวชน ที่มาเสนอข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ ยังมีข้อเสนอ 4 ข้อ คือ 1.ลดรายจ่ายประจำ ลดจำนวนข้าราชการที่เกินดความเหมาะสม จะได้เอาไปใช้จ่ายลงทุนที่มีผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ 2.กำหนดเป้าหมายของประเทศ สร้างฐานการผลิตใหม่ ที่ตอบสนองความต้องการของโลก 3.เปลี่ยนวิธีการงบประมาณใหม่ ต้องกำหนดเป้าหมายนำกระบวนการ ต้องมีตัวชี้วัดความสำเร็จของคุณภาพ และผลิตภัณฑ์ภาพที่ยั่งยืน และ 4.ต้องเคารพอำนาจสิทธิเสรีภาพของประชาชน
“ยืนยันว่าเป็นข้อเสนอที่เป็นความปรารถนาดี ไม่มีการเมืองมาเกี่ยวข้อง หวังว่าจะเอาข้อเสนอนี้ไปพิจารณาอย่างจริงใจ และมีข้อเสนอข้อสุดท้ายว่า และหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากจะช่วยเหลือคนไทยจริง ทำได้ง่ายนิดเดียว ด้วยการลาออก เชื่อว่าจะทำให้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดในประเทศนี้จะหายไปทันที และคนไทยทั้งประเทศจะปรบมือ หัวเราะแสดงความยินดีกันทั้งประเทศ” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
ด้าน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประเทศไทย มีวิกฤตภาวะผู้นำ ส่งผลให้มีการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มนิสิตนักศึกษา เพราะในขณะที่ประเทศมีปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่ดูเหมือนรัฐบาลยังใจเย็น หรือใส่เกียร์ว่าง ยังปล่อยให้มีการคอรัปชั่นซ้ำเติม สถาการณ์ทำให้ประเทศเกิดทางตัน
“นายกรัฐมนตรีไม่มีภาวะผู้นำ ทำให้การเมืองบิดเบือนที่สุด และรัฐธรรมนูญปี 2560 ยังออกแบบมาเพื่อการจัดตั้งรัฐบาล โดยผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดกลับไม่ได้ตั้งรัฐบาล และรัฐบาลผสมไม่มีเอกภาพ ต่างคนต่างมีนโยบาย ไร้ทิศทางไม่มีอนาคต” นายพิธา กล่าว นายพิธา กล่าวว่า การใช้ มาตรา 116 ยั่วยุ ปลุกปั่น ไม่สมเหตุผล และจะขยายความขัดแย้งไปในวงกว้าง ขอตั้งคำถามว่า รัฐจะต้องจับอีกกี่คน จึงจะรู้ว่าไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย และขณะนี้ประชาชนรับรัฐประหารไม่ได้แล้ว จะหันกระบอกปืนเข้าหาประชาชนอีกหรือไม่ และจะยอมให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซากอีกหรือไม่ และว่า “ผมอยากให้นายกฯ คิดได้ และไม่กลับไปสู่จุดนั้นอีก” .- สำนักข่าวไทย