ทำเนียบฯ 2 ก.พ.-ที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ นัดแรก ปรับแผนยุทธศาสตร์น้ำจาก 10 ปี เป็น 20 ปี ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ บูรณาการโครงการจัดการน้ำทั่วประเทศ 44 โครงการ แก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง มั่นใจรับมือสถานการณ์ภัยแล้งได้
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) กำกับดูแลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 1/2561 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ว่า วันนี้ที่ประชุมได้จัดตั้งคณะกรรมการ 4 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์น้ำ 2.คณะกรรมการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 3.คณะกรรมการยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ โดยปรับแผนยุทธศาสตร์ จาก 10 ปี เป็น 20 ปี และ 4.คณะกรรมการกลั่นกรองและวิเคราะห์ประเมินผล
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า ทั้งนี้ในส่วนของการจัดสรรงบประมาณ จะมีงบประมาณประจำปีอยู่แล้วประมาณ 50,000 – 60,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2561 ได้งบประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยงบฯ ที่ได้รับ จะนำไปพัฒนาและดูแลแหล่งน้ำขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและกักเก็บน้ำ ทั้งนี้ในส่วนของแผนงานและโครงการขนาดใหญ่ที่มีการจัดทำแผนในระยะ 20 ปี จะระบุแผนงานเร่งด่วนในแต่ละปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ต้องมีการศึกษาออกแบบการลดผลกระทบในพื้นที่ โดยในที่ประชุม กนช.วันนี้ (2 ก.พ.) ได้นำเสนอโครงการขนาดใหญ่ในทุกภูมิภาค จำนวน 44 โครงการ
พล.อ.ฉัตรชัย ยืนยันว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. จะเป็นหน่วยงานในการบูรณาการข้อมูลแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างครบถ้วน วางแผนบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง ให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนและภาคอุตสาหกรรม ขณะที่สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ ยืนยันว่า สทนช.มีแผนรองรับ และเชื่อว่าจะรับมือได้
ด้านนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ชาติด้านการบริหารจัดการน้ำที่ดำเนินการมาใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยยังมีจุดที่เป็นปัญหา คือ น้ำอุปโภคบริโภค ที่ปัจจุบันพบว่า 256 หมู่บ้านยังมีปัญหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยที่ได้รับมอบหมายดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2562 เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาน้ำในภาคการผลิต ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ยังต้องเดินหน้าพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มเติม ทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ นอกจากนี้การแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งตามแผนงานของกรมเจ้าท่า และกรมโยธาธิการและผังเมือง มีมาสเตอร์แพลนไว้แล้ว ซึ่งในอนาคตจะทำงานบูรณาการกับกรมชลประทาน และจัดทำเรื่องการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ทั้งระบบ โดยปรับแผนให้กรมเจ้าท่าแก้ปัญหาเรื่องการขุดลอกแม่น้ำสายหลักภายในปี 2562 -2563 ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำยม แม่น้ำชี ส่วนพื้นที่ป่าต้นน้ำ นายกรัฐมนตรีใด้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานดูแล เนื่องจากมีงบประมาณดูแดด้านนี้อยู่แล้ว
“หลังจากนี้ สทนช.จะนำงบประมาณที่ตั้งไว้ในปีงบประมาณ 2562 จำนวน 130,000 ล้านบาท ไปปรับปรุง โดยโครงการที่ถูกนำเสนอในช่วงคณะรัฐมนตรีสัญจร จะได้รับการพิจารณาตามที่ร้องขอ เช่น กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้เสนอโครงการเติมน้ำเพื่อดำเนินการในพื้นที่ทุ่งบางระกำ ซึ่งเป็นโครงการที่นายกรัฐมนตรีสนใจเป็นอย่างมาก” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า สำหรับในปี 2562-2565 สทนช.มีแผนโครงการใหม่ ๆ โดยจะดำเนินการในลักษณะแพคเกจ ซึ่งแผนงานหลัก ๆ ในภาคอีสาน คือ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำก่ำ ที่มีปัญหาในช่วงมรสุมที่ผ่านมา แก้ปัญหาน้ำท่วมเมือง จ.ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี และแม่น้ำเลย ซึ่งขณะนี้การศึกษาข้อมูลค่อนข้างพร้อมแล้วและเตรียมเดินหน้าปฎิบัติ ส่วนพื้นที่ภาคเหนือ โครงการต่าง ๆ เน้นไปที่ จ.สุโขทัย เนื่องจากปีที่ผ่านมาได้ใช้วิธีแก้ไขปัญหาตามแผนบริหารจัดการพื้นที่ลุ่มต่ำ ทุ่งบางระกำ รองรับน้ำจาก จ.สุโขทัย และพิษณุโลก แต่เพื่อเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว จึงมีการดึงน้ำและผันน้ำ ระหว่างแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน เข้าด้วยกัน รวมถึงระบบประตูระบายน้ำ และระบบกักเก็บน้ำในลุ่มน้ำยมตอนล่าง ตามที่ท้องถิ่นต้องการด้วย ซึ่งการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมดำเนินการแล้วเสร็จ กำลังดำเนินการขับเคลื่อนในปลายปี 2562
นายสมเกียรติ กล่าวด้วยว่า ขณะที่ในพื้นที่ภาคกลาง จะเป็นการแก้ปัญหาลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งระบบ 9 แผนงาน วงเงินกว่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งคณะอนุกรรมการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่จะจัดลำดับความสำคัญ โดยยังมีโครงการขนาดใหญ่รออยู่ อาจจะเริ่มการก่อสร้างในปลายปี 2562 หรือต้นปี 2563 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการไปแล้ว ที่กำหนดปักเขตให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในการก่อสร้างโครงการระบายน้ำ ส่วนพื้นที่ภาคใต้ เน้นเรื่องการแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ ซึ่งขณะนี้มีเจ้าภาพในการดำเนินงานแล้ว 111 แห่ง เหลือเพียงทำระบบระบายน้ำตอนล่างเชื่อมกับทะเล ที่ดำเนินการไปแล้ว และจะมีโครงการครอบคลุมในพื้นที่ที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้
“อีกโครงการหนึ่งที่สำคัญ คือ โครงการแก้ไขปัญหาน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก เน้นในพื้นที่อีอีซี โดยกรมชลประทานได้เสนอโครงการเร่งด่วนขึ้นใน 2 ปี ให้สามารถรองรับความต้องการใช้น้ำในช่วง 10 ปีหลังจากนี้ไป แต่เพื่อความไม่ประมาท นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ สทนช.บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทำแผน โดยนำน้ำทุกหยดในประเทศกลับมาใช้ รวมถึงการรีไซเคิลน้ำในภาคอุตสาหกรรม” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า แผนงานที่เตรียมเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบ คือ 1.แผนแก้ไขปัญหาเมืองน้ำท่วม ที่ จ.ชัยภูมิ โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง เสนอทำบายพาส ผันน้ำอ้อมเมืองเป็นอันดับแรก และเป็นโครงการขนาดใหญ่ งบประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งสามารถลดปริมาณที่มาจากทางเหนือได้ 100 เปอร์เซ็นต์ 2.เป็นโครงการต่อเนื่องที่จะต้องสนับสนุนการเพาะปลูกในบริเวณ อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี โดยดึงแม่น้ำป่าสักและจากเขื่อนป่าสักมาใช้ และ 3.โครงการน้ำบาดาลและน้ำปะปา ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล โดยจะต้องเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่น้ำประปาหายาก โดยนำน้ำบาดาลออกมาใช้ให้ได้.-สำนักข่าวไทย
