กทม. 12 ก.ย.- “สิริพงศ์” ชี้ เปิดด่าน ต้องให้ทหาร–คนพื้นที่ร่วมพิจารณา มั่นใจ รมว.กลาโหม มีท่าทีเปลี่ยน หลังรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงข้อกังวลของสังคมที่มีต่อการผ่อนปรนการเปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา ตามข้อตกลงของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า สิ่งสำคัญที่ยังน่าห่วงคือการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่พิพาท แม้จะถือเป็นก้าวหนึ่งของการลดความตึงเครียด แต่การที่กองกำลังทหารยังคงปักหลักในแนวชายแดนก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยผ่าน จำเป็นต้องหาทางออกอย่างจริงจัง
นายสิริพงศ์ยกตัวอย่างกรณีพื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งยังมีชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่อาศัยอยู่ในเขตแดนไทย ถือเป็นประเด็นที่รัฐบาลไทยต้องผลักดันให้มีการจัดการอย่างเด็ดขาดและถูกต้องตามกฎหมาย หากบุคคลเหล่านั้นจะอยู่หรือจะกลับเข้ามา ต้องเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด
สำหรับข้อถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับการปิด–เปิดด่านชายแดน นายสิริพงศ์เสนอว่า กองทัพควรหารือร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อชั่งน้ำหนักทั้งมิติด้านความมั่นคงและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เพราะเข้าใจดีว่าผู้ประกอบการต้องพึ่งพาการค้าชายแดน หลายครอบครัวไม่มีเงินเดือนประจำ การค้าขายจึงเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิต รัฐบาลและทุกฝ่ายจึงจำเป็นต้องหาทางออกร่วมกัน
“รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญต่อการทำให้ประชาชนกลับมามีชีวิตปกติ แต่ขณะเดียวกัน เรื่องอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศ ต้องปกป้องเต็มกำลัง” นายสิริพงศ์กล่าว พร้อมย้ำว่ากองทัพคือหน่วยงานด่านหน้าในพื้นที่ชายแดนที่มีบทบาทสำคัญที่สุด จึงควรได้รับอำนาจในการตัดสินใจตามสถานการณ์
นายสิริพงศ์ ยังกล่าวถึง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และมีชื่อเป็นว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลใหม่ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า การเข้าร่วมการประชุมที่ผ่านมา เป็นไปตามกรอบของรัฐบาลชุดก่อน
เชื่อว่า เมื่อรัฐบาลใหม่เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ ท่าทีของ พล.อ.ณัฐพล จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่ยืนยันจะปกป้องแผ่นดินไทยทุกตารางนิ้ว
ท้ายที่สุด นายสิริพงศ์ย้ำว่า สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการปฏิบัติการในพื้นที่คือ การสื่อสารต่อสาธารณะในประเด็นข้อพิพาทชายแดน ต้องสร้างเอกภาพและความเข้าใจร่วมกันในสังคม ไม่ควรมีการปลุกปั่นหรือสร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้น เพราะจะยิ่งบั่นทอนความมั่นคงของชาติในระยะยาว -สำนักข่าวไทย