สวีเดน 27 ส.ค.- “ไทย-สวีเดน” ยกระดับเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ดึงจุดแข็งสองฝ่ายร่วมพัฒนาทุกด้าน ‘มาริษ’ เผยเอกชนสวีเดนสนใจจุดแข็งไทย “สะพานเชื่อมโลกตะวันตก-ตะวันออกแห่งภูมิภาคอาเซียน” พร้อมสนับสนุนเอกชนไทย-สวีเดน เสริมความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน ขยับอุตสากรรมไทยในห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลก
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเดินทางมาเยือนราชอาณาจักรสวีเดนอย่างเป็นทางการ
ได้หารือทวิภาคีกับนางมารีอา มัลเมอร์ สเตเนอร์การ์ด (Maria Malmer Stenergard)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดนและร่วมลงนามยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการ รวมถึงได้มีโอกาสพบปะกับภาคเอกชนของสวีเดนด้วย
นายมาริษ กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสพบกับกลุ่มนักธุรกิจชาวสวีเดนที่มีการลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้วและกลุ่มที่สนใจมองหาช่องทางจะลงทุนในอนาคต มีการนัดหมายรับประทานอาหารมื้อเช้าร่วมกัน (Working Breakfast) เช่น บริษัทแอสตราเซเนก้า, อิเล็กโทรลักส์, อิริคสัน รวมถึงกลุ่มนักลงทุนด้านการศึกษา โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี เช่น AI หรือ Data Center เป็นต้น




นายมาริษ ระบุว่า การได้พบปะภาคเอกชนของสวีเดน ตอบสนองเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้ธุรกิจไทยมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เดินหน้าจากการเป็นฐานการผลิต เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ในต้นน้ำของอุตสาหกรรมมากขึ้น ยกระดับความร่วมมือกับสวีเดนในการทำ Joint Research and Development เป็นศักยภาพที่โดดเด่นของสวีเดนในด้านการศึกษาที่เข้มแข็งและถ่ายทอดไปสู่ภาคการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม
“ผมได้อธิบายต่อนักธุรกิจประเทศสวีเดนว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่มีนัยสำคัญ ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่จะเชื่อมร้อยประเทศเพื่อนบ้านได้รอบด้าน ความโดดเด่นด้านยุทธศาสตร์ของไทยดังกล่าวจึงเป็นจุดดึงดูดนักลงทุนชาวสวีเดนให้สนใจลงทุนในไทยอย่างมาก”
นายมาริษ เผยว่า โครงสร้างด้านการศึกษาเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบ เรามีนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักวิจัย ที่พร้อมจะพัฒนาให้ธุรกิจต่างๆ มีโครงสร้างตั้งต้นจากการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น จะเป็นการเพิ่มมูลค่าในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ


“ภาคการผลิตในปัจจุบันและอนาคตต้องใช้องค์ความรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยี เราจะมีความร่วมมือกับภาคธุรกิจในการพัฒนา โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝั่ง ร่าง Action Plan เพื่อให้เห็นว่าเราจะสนับสนุนเอกชนในด้านไหน เช่น ด้าน Green Transition, Green Energy, การศึกษา, ความร่วมมือด้านการแพทย์ รัฐต้องผลักดันให้ผู้เล่นคือภาคเอกชนทั้งสองฝั่งมาร่วมลงทุนกันได้ ใช้จุดแข็งมาเกื้อหนุนกัน จะทำให้เห็นผลสำเร็จที่ยั่งยืน นั่นคือรูปธรรมที่จะเกิดขึ้นจากการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศในครั้งนี้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว
นายมาริษ เผยว่า หลายบริษัทมองเห็นศักยภาพของประเทศไทยที่จะเป็นตัวเชื่อมโลก เพราะเราอยู่ตรงกลาง ทำให้เราสามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่ในการเชื่อมโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน ซึ่งตรงตามเป้าหมายของประเทศไทยที่ต้องการเป็นจุดศูนย์กลางในการเชื่อมต่อประเทศกลุ่มกำลังพัฒนา ให้มีบทบาทใหม่ในการกำหนดบริบทใหม่ของโลก ทุกปัจจัยข้างต้นทำให้ประเทศสวีเดนได้เห็นศักยภาพที่เด่นชัดขึ้น เข้าใจนโยบายของพวกเรา
จากนั้นในช่วงเที่ยง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ได้เข้าหารือทวิภาคีกับนาง Maria Malmer Stenergard รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน ได้รับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน (Lunch Working) โดยได้ยืนยันถึงความพร้อมของไทยทั้งด้าสโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างการศึกษา ความพร้อมในการเป็นจุดเชื่อมต่อของโลก และความเข้มแข็งของเครือข่ายภาคเอกชนในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ประเทศสวีเดนให้ความสำคัญกับประเทศไทยอย่างมาก
นอกจากนี้ นายมาริษ ยังใช้โอกาสนี้นำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อให้รัฐบาลสวีเดนเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในความตึงเครียดชายแดนไทยกับกัมพูชา พร้อมยืนยันว่าไทยได้ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด ได้หารือกรณีที่กัมพูชาใช้พลเมืองเข้ามาเป็นโล่มนุษย์ กดดันสร้างความขัดแย้งในเขตพรมแดน ขัดต่อข้อตกลงหยุดยิง ละเมิดอนุสัญญาเจนีวา กฎหมายระหว่างประเทศและกฏบัตรของสหประชาชาติ
“รัฐบาลสวีเดนได้ชื่นชมประเทศไทย โดยเฉพาะหลังการลงนามซื้อกริฟเพน ทำให้รัฐบาลสวีเดนสนับสนุนเรา เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติการทางทหารของเราเป็นไปเพื่อกำจัดการรุกราน ตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด”
การลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์นี้ตอกย้ำถึงความลึกซึ้งและความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างประเทศไทยและสวีเดน ซึ่งได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การลงนามสนธิสัญญามิตรภาพ การพาณิชย์ และการเดินเรือระหว่างกันฉบับแรกเมื่อปี พ.ศ. 2411
ในปัจจุบัน มีบริษัทสวีเดนกว่า 100 แห่งดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย มีชาวสวีเดนกว่า 220,000 คนเดินทางมาเยือนประเทศไทยในแต่ละปี และมีชาวไทยราว 70,000 คนพำนักอยู่ในสวีเดน ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศ เป็นก้าวสำคัญและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสองประเทศในการขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกภาคส่วนให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคต.-312 -สำนักข่าวไทย