“ภูมิธรรม” มอบนโยบายปราบยาเสพติด ตั้ง KPI ภายใน 3 เดือน

เมืองทองธานี 7 ส.ค.-“ภูมิธรรม” มอบนโยบายปราบยาเสพติด ผ่านกลไกความร่วมมือ 3 ฝ่าย มท.-ตร.-สธ. ร่วมป้องกัน ปราบปราม ฟื้นฟูผู้เสพ ตั้ง KPI ภายใน 3 เดือน เห็นผลเป็นรูปธรรม นำประเทศไทยสู่ ZERO DRUGS

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวมอบนโยบายปราบปรามยาเสพติด โดยได้เน้นย้ำว่าประเทศไทยจะต้องปลอดยาเสพติดทั่วทั้งแผ่นดิน ภายใน 3 เดือนนี้ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยจะมีตัวชี้วัดสำคัญคือประชาชนในชุมชนต้องบอกว่าไม่มียาเสพติด


นายภูมิธรรม ระบุด้วยว่าภายใน 3 เดือนนี้จะเป็นจุดแตกหัก และเป็นผลของการแก้ปัญหายาเสพติด ซึ่งหัวใจทั้งหมดอยู่ที่หมู่บ้านและชุมชน โดยใช้กลไกความมั่นคงในระดับพื้นที่ร่วมกันทั้ง 3 ฝ่ายคือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด นอกจากนี้ยังมีในส่วนของทหารที่รับผิดชอบซีลชายแดนในการสกัดเบื้องต้นด้วย รวมถึงอีกหลายภาคส่วน ทั้งผู้อำนวยการโรงเรียน ศึกษาธิการจังหวัด ถ้าพร้อมใจกันก็ทำงานร่วมกันได้

และเพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตนขอมอบแนวทางดำเนินงานให้ทุกส่วนเร่งรัดดำเนินการ ดังนี้


เรื่องแรกคือมาตรการป้องกัน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ร่วมกันบูรณาการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูล วางกำลังและจัดกำลังร่วมกัน เพื่อสนับสนุนภารกิจของกันและกัน โดยเน้นย้ำให้ใช้กลไกชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ ชรบ. อาสาสมัครรักษาดินแดน ในการช่วยสอดส่อง พร้อมชื่นชมจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดน่าน ที่เป็นโมเดลต้นแบบ ขณะเดียวกัน ให้ทุกฝ่ายช่วยกันควบคุม ขจัดพื้นที่เสี่ยงที่จะเป็นแหล่งมั่วสุมยาเสพติด และใช้เครือข่ายชุมชน เป็นเครือข่ายตาสับปะรดในการช่วยป้องกันคนในชุมชนยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ขอให้ทุกจังหวัดและทุกหน่วยงานน้อมนำหลักการและแนวคิดของกองทุนแม่ของแผ่นดินมาช่วยสนับสนุน เสริมสร้างพลังแห่งความดีของสมาชิกในหมู่บ้านและชุมชน ในการร่วมป้องกันปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ขอให้ผู้ว่าฯและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจัดทำข้อมูลเพื่อระบุหมู่บ้านชุมชนที่เป็นพื้นที่เสี่ยงเพื่อนำมาตรการเชิงรุกเข้าควบคุม จัดระเบียบสังคมและควบคุมสถานที่เสี่ยง สถานบันเทิง ที่เป็นแหล่งมั่วสุมยาเสพติด ไม่ให้เป็นแหล่งกระจายยาเสพติด ตัดวงจรและสกัดกั้นการเข้าถึงยาเสพติดทุกพื้นที่ ตลอดจนตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อเป็นการยับยั้งโอกาสในการเกิดการกระทำความผิด กำชับและเน้นย้ำ ให้นายอำเภอใช้มาตรการซีล สต็อป เซฟ ตรวจพื้นที่ชายแดน และช่องทางธรรมชาติอย่างเข้มข้น และขยายมาตรการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

นายภูมิธรรม กล่าวว่าขณะที่มาตรการปราบปราม ให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานยึดหลักเด็ดขาด โปร่งใส ไม่ละเว้น การที่ชาวบ้านรู้แต่เจ้าหน้าที่ไม่รู้ถือเป็นความผิด ต้องสืบสวนขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ ควบคู่กับการค้นหาผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในทุกพื้นที่ตามมาตรการรีเอ็กซเรย์ โดยทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อระหว่างตำรวจ ทหาร หน่วยความมั่นคงในพื้นที่และกลไกฝ่ายปกครอง โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำในการปราบปรามตามบริบทและความเหมาะสมของพื้นที่ ให้ใช้กลไกฝ่ายปกครองในพื้นที่ สนับสนุนการหาข่าว ซึ่งเรื่องการข่าวเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าการข่าวแม่นยำ จะตรวจจับได้ลึกถึงผู้ค้า ผู้บงการ ขณะเดียวกันได้ใช้กลไก ป.ป.ง. เข้ามาเกี่ยวข้องในการตรวจสอบให้ลึกไปถึงต้นทาง หากพบก็จะใช้กลไกเหล่านี้ ในการยึดทรัพย์ผู้ค้าโดยเฉพาะรายใหญ่

ส่วนมาตรการบำบัดฟื้นฟู ขอให้ผู้ว่าและสาธารณสุขจังหวัด บูรณาการร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อคืนคนคุณภาพสู่สังคม ผู้เสพต้องได้รับโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยยึดการปฏิบัติตามหลักการผู้เสพคือผู้ป่วย ส่งเข้าบำบัดรักษา แทนการดำเนินคดี ลดการตีตราและสร้างโอกาสในการเรียนรู้และสร้างอาชีพให้ผู้ผ่านการบำบัด ให้กลับเข้าสู่สังคมอย่างเป็นสุขและเป็นธรรม


ขณะเดียวกันให้พัฒนาการดำเนินงานของศูนย์ฟื้นฟู ทั้งในระดับอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการยกระดับศูนย์บำบัดยาเสพติดในพื้นที่ให้มีมาตรมาตรฐานเดียวกัน

ดำเนินการหนึ่งจังหวัด หนึ่งสถานฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติดเป็นอย่างน้อย และพัฒนาระบบติดตามผู้ผ่านการบำบัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าผู้ผ่านการบำบัดจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำอีกและเพื่อให้มาตรการที่ตนได้มอบนโยบายเห็นผลเป็นรูปธรรม ภายใน 3 เดือน ขอให้ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดอย่างเข้มข้น ดังนี้

ผลการดำเนินงานในการสกัดกั้นยาเสพติด ในจังหวัดชายแดนเปรียบเทียบกับในจังหวัดทั่วประเทศ คือ ชายแดนมีการจับกุมจำนวนมาก ขณะที่ในพื้นที่ภายในต้องมีจำนวนลดลง และในการจับกุมผู้ค้า ต้องสามารถขยายผลถึงเครือข่ายได้ จำนวนผู้พิเศษที่เข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู จะต้องนำทุกรายเข้ากระบวนการฟื้นฟู การดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด หากพบเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้นและทันที และการขยายเครือข่ายพลังชุมชนเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังยาเสพติดให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน จะต้องทำให้หมู่บ้านและชุมชนเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดทั่วประเทศ

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นเพื่อดำเนินงานอย่างจริงจังของกลไกมหาดไทย และทุกระดับ พลังการบูรณาการผ่านหน่วยงานหลักของประเทศ ในการแก้ปัญหายาเสพติด ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชนจะต้องปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ทุ่มเททำงานอย่างมุ่งมั่นจริงจัง เราจะเอาชนะปัญหาร่วมกัน ด้วยการป้องกันป้องปรามปราบปรามบำบัดฟื้นฟูและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคมไทย ปลอดภัยยาเสพติดทุกพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินการNO DRUGS NO DEALERS สู่ ZERO DRUGS ประเทศไทยต้องปลอดยาเสพติด.-315.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

ปิดล้อมกว่า 8 ชม. จับหนุ่มคลั่งควงปืนสงครามขู่ยิง ตร.

ศรีสะเกษ 17 ก.ย. – พ่อค้ายาเสพติดคลุ้มคลั่ง ควงปืนสงคราม AK-47 ขู่ยิงเจ้าหน้าที่ หลังถูกชุดปฏิบัติการ 238 พิทักษ์นครลำดวน สนธิกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบ้านเป้าหมายพื้นที่ อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ เกลี้ยกล่อมนานกว่า 8 ชั่วโมง สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหว ยอมวางอาวุธมอบตัวแต่โดยดี เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อมนายวีระศักดิ์ อายุ 35 ปี มีประวัติพัวพันการค้ายาเสพติด ครอบครองอาวุธสงคราม และยังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งวิ่งเข้าไปหลบภายในบ้าน ต.หนองกุง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ หลังตำรวจแสดงตัวเข้าตรวจค้น เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ มีพฤติกรรมอุกอาจ แต่นายวีระศักดิ์กลับวิ่งไปหยิบอาวุธปืนสงคราม AK-47 ออกมาขู่เจ้าหน้าที่ พร้อมตะโกนด้วยเสียงดุดันว่าถ้าเข้ามาจะยิง จากนั้นรีบหลบกลับเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบริเวณโดยรอบอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันเหตุร้าย บรรยากาศตึงเครียด เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อม ทั้งให้พ่อแม่และญาติสื่อสารทางโทรศัพท์ หวังให้ผู้ต้องหายอมมอบตัวแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากนายวีระศักดิ์ยังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยาบ้า ถือปืนพร้อมยิงตลอดเวลา นานกว่า 8 ชั่วโมง […]

ช่องโดนเอาว์เจอ PMN-2 อีก 8 ทุ่น ทบ.ชี้เขมรยังละเมิดข้อตกลง

17 ก.ย.- ทบ. แจงตรวจพบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 8 ทุ่นบริเวณช่องโดนเอาว์ จ.ศรีสะเกษ ชี้กัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ย้ำควรรับผิดชอบและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ วันนี้ (17 ก.ย.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ากองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังจากที่กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 132 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อเสริมภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ วานนี้ (16 ก.ย.68) โดยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก มีสภาพใหม่ ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน ซึ่งทางหน่วยได้ทำการเก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บเพื่อรอการทำลายเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการตรวจพบระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละในการใช้อาวุธต่อกำลังของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน และเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับข้อตกลงที่กัมพูชาได้ให้ไว้ในที่ประชุม GBC เมื่อวันที่ 10 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ในเรื่องความร่วมมือที่จะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งจากนี้กองทัพบกจะนำหลักฐานที่ได้ตรวจพบทั้งหมดในพื้นที่ รวบรวมนำส่งให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร้องเรียนตามกระบวนการในเวทีสากลต่างๆ ต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือกัมพูชา […]

ไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เขมรป่วนไม่เลิก

17 ก.ย.- เปิดไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง หลังชาวเขมรชุมนุมประท้วง ก่อความวุ่นวาย ล่าสุดสถานการณ์ทั่วไปอยู่ในความควบคุม แต่กลุ่มชาวกัมพูชายังคงปักหลักใกล้แนวชายแดน.-สำนักข่าวไทย

ทำเนียบฯ เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่

ทำเนียบ 17 ก.ย.- ทำเนียบรัฐบาล เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่ ถ่ายรูปติดบัตร ก่อนถวายสัตย์ปฏิญาณ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน และยังมีการตัดแต่งต้นไม้ บริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาล และตัดหญ้าด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา และวันนี้มีการส่งทีมงานเข้ามาดูห้องทำงานภายในตึกบัญชาการ 1 ด้วย สำหรับตำแหน่งว่าที่รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลอนุทิน มีชื่อทั้งหมด 7 คน ได้แก่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี และนายโสภณ​ ​ซา​รัมย์​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​ ขณะที่ตำแหน่งว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี […]