“รมว.คลัง-พาณิชย์” ถกแก้ปัญหา “นอมินี-สินค้าสวมสิทธิ์”

ทำเนียบ 25 เม.ย.-“รมว.คลัง-พาณิชย์” ถกหามาตรการแก้ปัญหาระยะสั้น-กลาง-ยาว บริษัท “นอมินี-สินค้าสวมสิทธิ์” เน้นเชิงรุก บุกสอบถึงโรงงาน-มาตรฐานคุณภาพสินค้า สร้างความเชื่อมั่นให้สหรัฐ บอกภาพรวมเป็นที่พอใจ หลังจับกุมแล้วกว่า 852 บริษัท

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพร้อมด้วย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงผลการประชุมหารือเรื่องการแก้ไขปัญหาสินค้า และธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย


โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การหารือวันนี้มีการกำหนดแผนระยะสั้น, กลาง และยาว โดยจะมีความเข้มงวดการตรวจสอบสินค้าที่เข้ามาสู่ประเทศไทยมากขึ้น โดยจะเน้นตรวจสอบเรื่องสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า สินค้าที่ไม่มีคุณภาพจะมีต้นทุนต่ำ และขายในราคาที่ถูก โดยจะมีมาตรการสำหรับสินค้าที่มาจากประเทศต้นทาง และได้รับการอุดหนุนการช่วยเหลือมาจากประเทศต้นทาง ทำให้ราคาสินค้าถูก และไม่ได้คุณภาพ ซึ่งในอดีตการเข้าไปตรวจใช้เวลาระยะเวลานาน โดยการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในช่วงระยะสั้น จะใช้วิธีการเมื่อรับสินค้าดังกล่าวเข้ามาจะเข้าไปตรวจสอบทันที หากสินค้าชนิดใดไม่สามารถอธิบายแหล่งที่มาต้นทุนได้ และไม่ได้มาตรฐานตามองค์การอาหารและยา หรือ อย.กำหนด หรือคุณภาพไม่ได้ ก็จะสามารถทำการยกเลิกได้ทันท่วงที

นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งก็จะเข้าไปตรวจสอบว่า มีการดำเนินการตามข้อบังคับหรือไม่ เพราะสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่มีฉลาก และไม่มีใบรับรองมาตรฐาน ซึ่งจะใช้วิธีการแจ้งไปยังเจ้าของแพลตฟอร์ม เพื่อให้ดึงสินค้าดังกล่าวออกจากการขาย ซึ่งหมายความว่า เจ้าของทุกแพลตฟอร์มไม่ว่า จะขายที่ไหนในโลกต้องมาจดทะเบียนอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้เป็นคนกลางเชื่อมระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขายในไทย ถือจะเป็นมาตรการในระยะสั้นที่จะเร่งทำ


ขณะที่การตรวจสอบเรื่อง “นอมินี” โดยจะมีการเข้าไปตรวจสอบสัดส่วนการถือหุ้น ในสัดส่วนของ 49% และก็จะไปตรวจสอบว่า สัดส่วน 51% คือผู้ใดที่ถือว่า เข้าข่ายเป็น “นอมินี” หรือไม่ มีการใส่เม็ดเงินลงทุนจริงหรือไม่ โดยเรื่องนี้จะเป็นการทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย รวมไปถึงต้องมีการตรวจสอบ “นอมินี” เรื่องการถือครองที่ดินด้วย

ส่วนแผนการแก้ไขปัญหาในระยะกลาง และระยะยาว จะต้องมีการไปทบทวนกฎหมายในหลายอย่าง เพื่อทำให้เป็นสากลมากขึ้น ให้มีการควบคุมและกำกับให้ดีขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า ปัจจุบันนี้ยังมีสินค้า หรือการบริการบางประเภท ที่ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติดำเนินการ ซึ่งมองว่า วันนี้ควรจะอนุญาตให้ดำเนินการได้แล้ว เพราะจะส่งผลดีกับประเทศไทย ซึ่งจะต้องมีการทบทวนเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้ทั่วโลกเห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้ปิด แต่ต้องทำให้เป็นสากลมากขึ้น

ขณะที่เรื่องของสินค้า “สวมสิทธิ์” โดยวิธีการเฝ้าระวัง คือ สินค้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจับตาดูอยู่ หรือ Watch list ซึ่งมีอยู่ประมาณ 49 ชนิด และยังมีการเพิ่มสินค้าที่ต้องจับตาอีก 16 ชนิด ที่ต้องการให้ใครช่วยเฝ้าระวัง โดยจะมีการเข้าไปตรวจสอบถึงโรงงาน, กระบวนการผลิต และแหล่งที่มาของสินค้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องตรวจสอบ Certificate of Origin หรือ CO หรือใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า ที่จะให้กระทรวงพาณิชย์เข้าไปร่วมตรวจสอบเพราะใบรับรองดังกล่าวต้องออกโดยประเทศไทย หรือจะให้สภาหอการค้า และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมตรวจสอบด้วย ซึ่งเดิมทีสามารถออกใบดังกล่าวได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่จะมีการปรับเปลี่ยนให้อยู่กับส่วนกลางที่เดียว เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า สินค้าเหล่านั้นเป็นไปตามกติกา และสามารถส่งต่อได้ เพื่อป้องกันปัญหาสินค้า “สวมสิทธิ์”


ส่วนการพิจารณาสินค้าที่สวมสิทธิ์ จำเป็นที่จะต้องมีการตรวจสอบก่อนที่จะมีการไปเจรจากับสหรัฐฯ ใช่หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ขณะนี้ไทยเริ่มดำเนินการแล้ว และทางสหรัฐฯ ก็ได้เห็นขั้นตอนวิธีการทำ และมานั่งดูขั้นตอนการทำ ซึ่งหากพึงพอใจก็จะมีการตรวจสอบไปเรื่อย ๆ และในวันหลังก็อาจจะมีการเพิ่มรายการในการตรวจสอบ ดังนั้นจะต้องมีการค่อย ๆ ปรับ แต่ทั้งนี้ทางสหรัฐฯ พอใจในวิธีการสิ่งที่ได้ตรวจสอบเป็นไปตามมาตรฐาน หรือสิ่งที่เขาอยากเห็น และเรื่องนี้เป็นผลดี เพราะการทำเช่นนี้หลักสากล และยุติธรรมกับผู้ค้าทุกฝ่าย เพราะการที่สินค้าออกไป ได้มาตรฐานหรือไม่ และเป็นสินค้าไทยหรือไม่ เพราะในโลกใบนี้คู่ค้า แต่ละประเทศก็มีการพูดคุยกัน ดังนั้นเรื่องทั้งหมดเป็นหลักสากล ไม่ใช่แค่ประเทศไทย ซึ่งหากไม่มีเรื่องนี้ก็ต้องทำอยู่แล้ว

นายพิชัย ยังระบุอีกว่า จากการทำงานร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา ก็พบว่า ทางสหรัฐฯ ก็พอใจในระดับหนึ่ง และทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา หรือ USTR ได้ทำงานร่วมกับศุลกากรของสหรัฐอเมริกา เพื่อจะดูแลเรื่องนี้ และจะมีการตรวจสอบไปถึงเรื่องวีซา ของนักท่องเที่ยวที่มาพำนักอยู่ในประเทศไทยนานเกินควรด้วย หรือถือวีซา ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่

ด้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึง การตรวจสอบสินค้าด้อยคุณภาพว่า ได้มีการดำเนินคดีไปแล้วกว่า 29,000 คดี ซึ่งก็จะมีการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบมากขึ้น

ส่วนการจับกุมบริษัท “นอมินี” มีการจับกุมไปแล้ว 852 บริษัท ทุนจดทะเบียนกว่า 15,000 กว่าล้านบาท และปัจจุบันพบว่า มี 49,000 กว่าบริษัท ที่ต่างชาติถือหุ้นอยู่ ซึ่งก็ต้องไปตรวจสอบ ว่ามีการถือหุ้นผ่าน “นอมินี” หรือไม่ โดยจะได้ดำเนินการแก้ไขในเรื่องนี้

ขณะที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักการในการควบคุมสินค้า จะคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคก่อน โดยได้ดำเนินการตามกฏหมายที่มีอยู่ และจะมีการดำเนินการตรวจสอบสินค้าที่นำเข้าจากทุกประเทศอย่างเท่าเทียม และเหมือนกัน โดยจะต้องคำนึงถึงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ มอก. และองค์กรอาหารและยา หรือ อย. รวมไปถึงเรื่องของฉลากที่เป็นสินค้าบางรายการ เช่น อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ต้องระบุวิธีการใช้งาน ซึ่งต้องมีการระบุเป็นภาษาไทย

ส่วนการตรวจสอบสินค้า “สวมสิทธิ์” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า หรือ CO ได้มีการหารือร่วมกับทางสหรัฐฯ ซึ่งกระบวนการจะเริ่มตรวจ ตั้งแต่โรงงาน และใบรับรองอย่างเข้มงวด โดยมีการตรวจสอบต้นทุน และมีการหารือกับศุลกากรสหรัฐประจำประเทศไทย ซึ่งทางสหรัฐฯ ได้มาดูกระบวนการ และก็พึงพอใจ โดยจะมีการส่งบัญชีสินค้าที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ ซึ่งได้ทำงานร่วมกัน และมีการสอบถามยังมีประเด็นข้อสงสัยตรงจุดใด ซึ่งได้มีการทำงานมาร่วมกันตลอด และทางสหรัฐฯ ก็พึงพอใจ.-316.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

รวบแล้ว! มือปืนโหดสวมชุดไรเดอร์ ตามยิงซ้ำที่ รพ. ดับ 2

ปทุมธานี 5 มิ.ย.- จับแล้ว! มือปืนโหดสวมชุดไรเดอร์ รัวกระสุนใส่หน้าบ้าน ก่อนตามไปยิงซ้ำที่ รพ. เสียชีวิต 2 ราย สารภาพอ้างแค้นถูกตีท้ายครัว ความคืบหน้าเหตุมือปืนชายแต่งกายไรเดอร์ ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ ยิงใส่กลุ่มวัยรุ่นชายหญิง ที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่หน้าบ้าน ในพื้นที่ ต.ระแหง อ.ลาดหลุมแก้ว ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย หลังเกิดเหตุกลุ่มเพื่อนได้นำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล แต่คนร้าย ได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบ ใช้อาวุธปืนตามยิงซ้ำถึงในโรงพยาบาล ส่งผลให้ผู้ได้รับบาดเจ็บที่อยู่ท้ายกระบะเสียชีวิต 2 ราย ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวมือปืน ทราบชื่อนายสมยศ อายุ 32 ปี พร้อมของกลางอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ โดยให้การรับสารภาพว่าตนเองจะมายิงนายมานะ หรือไอซ์ อายุ 33 ปี เพียงคนเดียว ซึ่งก่อนเกิดเหตุตนได้นั่งกินเบียร์มาก่อน และที่ทำไปนั้น เพราะจับได้ว่าผู้ตายเป็นชู้กับภรรยาตน หลังก่อเหตุขับรถหนีไปจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม .-สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” รับกัมพูชาล้ำ 200 ม. จริง แต่เป็นจุด No Man’s Land

ทำเนียบ 5 มิ.ย.- “ภูมิธรรม” รับกัมพูชาล้ำ 200 เมตร จริง แต่เป็นจุด No Man’s Land ย้ำใช้เวที JBC เจรจา บอกไม่ใช่เรายอมศิโรราบ แต่ไทยมีข้อมูลหลักฐาน รอชัดเจน 14 มิ.ย. ขณะที่กองทัพเตรียมพร้อมตรึงกำลังแนวชายแดน ลั่นไม่ยอมใคร ยืนยันไทยเริ่มต้นจากสันติ ชี้หากประกาศกฏอัยการศึก แม่ทัพภาค 2 มีอำนาจสั่งได้ทันที นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการลงพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีเมื่อวานนี้ ว่า ตนได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่สอง ถึงข้อมูลที่ออกไปในปัจจุบัน ผิดไปจากสิ่งที่เป็นอยู่ ในปัจจุบันมากพอสมควร จึงอยากให้ระมัดระวังเรื่องข้อมูลข่าวสาร ยืนยันว่า ในพื้นที่ไม่ได้มีการวางทุ่นระเบิด จะเป็นภาพเก่าในอดีต ซึ่งตนมองว่าเป็นการสร้างความสับสน และทำลายศรัทธาความร่วมมือของประชาชน นายภูมิธรรม กล่าวถึงการรุกล้ำ 200 เมตร ว่า ทั้งหมดนี้อยู่ที่คณะกรรมการ JBC ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนกำหนดแต่ละฝ่ายมีจุดที่ค่อมกัน ดังนั้นจึงกำหนดให้เป็น […]

ดรามานิติไล่ไรเดอร์รับลูกค้าหน้าคอนโดฯ

5 มิ.ย. – สาวเรียกรถผ่านแอปฯ มารับหน้าคอนโดฯ หัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์ถือวิทยุสื่อสารพร้อมไล่ให้ลงรถ ขู่ไม่อนุญาตให้เรียกรถผ่านแอปฯ ด้านไรเดอร์รู้ข่าวบุกรวมตัว ลั่นถ้าคู่กรณีไม่ออกมาก็อย่าหวังว่าแยกย้าย คลิปจากผู้โดยสารคนหนึ่งถ่ายไว้ขณะเรียกรถมารับบริเวณด้านหน้าคอนโดฯ ย่านสาทร แต่กลับถูกชายรายหนึ่งถือวิทยุสื่อสาร ไล่ให้ลงจากรถ พร้อมพูดขู่ว่าไม่ใช่วินห้ามเข้า แฟนเพจเฟซบุ๊กอยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 6 ได้รับเรื่องร้องเรียนจากลูกบ้านคอนโดฯ แห่งหนึ่ง โพสต์ไว้หลังจากเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน แต่กลับถูกขัดขวาง ระบุว่า “เราได้เรียกรถจักรยานยนต์ผ่านแอปพลิเคชันเพื่อไปทำงานตามปกติ แต่มีชายคนหนึ่ง (คาดว่าเป็นวินในหมู่บ้าน มีวิทยุสื่อสารด้วย) เข้ามาไล่ให้ลงจากรถ พร้อมพูดในลักษณะข่มขู่ว่า “ไม่ให้เรียกผ่านแอปฯ เพราะที่นี่มีวินอยู่แล้ว” และยังไล่คนขับกลับไปทันที เหตุการณ์นี้ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยและเสียเวลาในการเดินทาง รบกวนช่วยตรวจสอบ ขอความชัดเจนว่าในหมู่บ้านมีข้อกำหนดห้ามเรียกรถผ่านแอปฯ หรือไม่ หากมีรบกวนขอเอกสารหรือประกาศที่เป็นทางการด้วย หากไม่มีรบกวนช่วยดำเนินการกับบุคคลดังกล่าว เพราะพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเข้าข่ายคุกคามและไม่เหมาะสม” หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ปรารกฏว่าวานนี้ (4 มิ.ย.) มีไรเดอร์จำนวนมานัดรวมตัวกันและเดินทางไปยังคอนโดฯ ดังกล่าว โดยมีตำรวจเข้ามาพูดคุย ขณะที่ทางตัวแทนไรเดอร์ระบุว่า ถ้าคู่กรณีไม่ออกมาก็อย่าหวังว่าแยกย้าย และนิติคอนโดฯ ต้องออกมาพูดให้ชัดเจนว่าไรเดอร์เข้าไปรับผู้โดยสารได้ไหม” ต่อมาที่ สน.บางขุนเทียน เจ้าหน้าที่เรียกตัวนายพงษ์ อายุ 52 […]

คนขับหลับใน รถทัวร์เสียหลักตกร่องถนน ดับ 2 สาหัส 5

ประจวบคีรีขันธ์ 4 มิ.ย. – รถทัวร์ตกร่องกลางถนนชนเสาไฟ บนถนนเพชรเกษม อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ผู้โดยสารเสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บสาหัส 5 คน คนขับยอมรับหลับใน วงจรปิดจับภาพขณะเกิดเหตุรถทัวร์ขับมาดีๆ จู่ๆ ไถลลงร่องกลางถนน โดยไม่มีคู่กรณี เหตุเกิดประมาณตี 04.30 น.ที่ผ่านมา (4 มิ.ย.) บนถนนเพชรเกษม บริเวณหน้าค่ายพระมงกุฎเกล้า อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ รถที่เกิดเหตุเป็นรถบัสโดยสารปรับอากาศ สายระยอง-มุกดาหาร พลิกตะแคงอยู่ในร่องกลาง มีร่องรอยชนกับเสาไฟและการ์ดเลนถนน สภาพรถด้านหน้าพังยับเยิน กระจกหน้าและด้านข้างแตกร้าว หลังคาฉีกขาด ที่เกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต 2 คน เป็นชาย และอาการสาหัส 5 คน นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นและเร่งนำตัวนำส่งโรงพยาบาล ขณะที่ผู้โดยสารต่างอยู่ในอาการตกใจ บอกว่าก่อนเกิดเหตุรู้สึกว่ารถส่ายไปมา คนขับรถคือ นายทศพร อายุ 51 ปี ให้การว่า ในรถมีผู้โดยสารรวมคนขับแล้ว 28 คน รับผู้โดยสารจาก จ.ระยอง […]

ข่าวแนะนำ

ผบ.ทสส.นัดถก ผบ.เหล่าทัพเฉพาะกิจ ปมชายแดนไทย-กัมพูชา

กรุงเทพฯ 5 มิ.ย. – ถก ผบ.เหล่าทัพเฉพาะกิจ พรุ่งนี้ แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา คาด “ผบ.ทบ.” รับผิดชอบโดยตรง เตรียมแผนรับมือครอบคลุมทุกมิติแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (6 มิ.ย.68) พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) จะเป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 4/2568 วาระเฉพาะกิจ ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) ในเวลา 14.00 น. คาดว่าจะมีการหารือถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของกองทัพบกโดยตรง ทั้งการเตรียมกำลัง และดำเนินการเกี่ยวกับการใช้กำลังตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง และเตรียมแผนพร้อมรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ครอบคลุมทุกมิติแล้ว สำหรับการประชุม ผบ.เหล่าทัพ ในครั้งนี้ กองทัพอากาศเป็นเจ้าภาพ และได้แจ้งสื่อมวลชน ขอยกเลิกการมาทำข่าวนี้ เนื่องจากเป็นการประชุมเฉพาะกิจ นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะมีการประชุม และคาดว่าจะมีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาดูแลแก้ปัญหาโดยเฉพาะ.-313-สำนักข่าวไทย

รวมพลังหยุดเหมืองพิษ คืนชีวิตคนลุ่มน้ำชายแดน

5 มิ.ย. – วันนี้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งขณะนี้ผู้คนตามลุ่มน้ำชายแดนไทย-เมียนมา ทางภาคเหนือของไทย กำลังเผชิญกับวิกฤติสิ่งแวดล้อม หลัง 2 เดือนมานี้พบสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐานในลำน้ำกกและน้ำสาย รวมถึงแม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง เชื่อว่าเป็นผลมาจากการทำเหมืองแร่หลายแห่งบริเวณต้นน้ำในเมียนมา วันนี้ชาวเชียงใหม่และเชียงราย ร่วมกันออกมาแสดงพลังเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะการเจรจาให้หยุดเหมืองพิษและคืนชีวิตให้กับลุ่มน้ำต่างๆ .-สำนักข่าวไทย

แฉชนวนเหตุ ไรเดอร์บุกยิงดับ 2 ศพคา รพ.

ปทุมธานี 5 มิ.ย. – จากเหตุระทึกขวัญที่ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี เมื่อคืนที่ผ่านมา ไรเดอร์บุกยิงคนถึงในบ้าน แล้วยังขับรถตามไปยิงซ้ำที่โรงพยาบาลจนเสียชีวิต วันนี้ตำรวจจับกุมตัวได้แล้ว ชนวนเหตุมาจากอะไร ติดตามจากรายงาน.-สำนักข่าวไทย

นายกฯ โพสต์หารือประเมินปมชายแดนไทย-กัมพูชา

ทำเนียบ 5 มิ.ย.-นายกฯ โพสต์หารือประเมินปมชายแดนไทย-กัมพูชา ยึดหลักการสันติวิธี ยันไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ชี้ต้องคุยเฉพาะพื้นที่เป็นปัญหา ไม่ขยายประเด็น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ถึงการหารือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า “จากกรณีที่ทางรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ดิฉันได้หารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และท่านรองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งได้โทรศัพท์เข้ามารายงานเรื่องการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ณ จังหวัดอุบลราชธานี อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินภาพรวมอย่างรอบด้าน รัฐบาลไทยขอยืนยันในหลักการแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางสันติวิธี ภายใต้ความเคารพในอธิปไตยและดินแดนของกันและกัน ในกรณีที่กัมพูชาประสงค์จะเสนอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เข้ามามีบทบาท รัฐบาลไทยขอเรียนว่า ประเทศไทยไม่ได้ให้การยอมรับเขตอำนาจศาล ICJ ในกรณีพิพาทต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน และขอย้ำว่า ประเด็นที่เกิดขึ้นควรได้รับการแก้ไขปัญหาในบริเวณที่มีการกระทบกระทั่งกันเท่านั้น ไม่ขยายประเด็นปัญหาออกไป ประเทศไทยยังยึดมั่นในกลไกการหารือทวิภาคีที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้มาโดยตลอด เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศค่ะ.-315.-สำนักข่าวไทย