“หมอเปรม” อ้างประชาชนต้องการปรับ ครม.ด่วน

รัฐสภา 21 เม.ย.-“หมอเปรม” อ้างประชาชนต้องการปรับ ครม.ด่วน บอกเอาพรรคร่วมรัฐบาลที่มีปัญหาออก จี้ภูมิใจไทยเอาให้ชัดเจน อย่าทำเป็นละครตบจูบ ประชาชนเบื่อ แนะไม่ต้องเกรงใจพรรคร่วม ปรับก่อนงบฯ 69 เข้าสภาฯ เลย หวั่นเอาภาษีเป็นเครื่องมือต่อรอง

นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. แถลงเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นต่อการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน ว่า จากการที่ตนได้ลงพื้นที่ในช่วงปิดสมัยประชุมพบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันคือเวลานี้เกิดความไม่เชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาลและมีสิ่งที่คาใจประชาชนในเรื่องของเสถียรภาพและความเป็อนเอกภาพของรัฐบาล โดยเฉพาะความเป็นผู้นำของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื่องจากความท้าทายของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีระดับเลขาธิการพรรค การเมืองสำคัญที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ท้าทายว่าจะไม่ร่วมมือในการบริหารประเทศ โดยจะขัดขวางกฎหมายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือกาสิโน รวมถึงกฎหมายอื่นๆที่จะเข้าสู่สภาฯเมื่อเป็นเช่นนี้ เสถียรภาพของรัฐบาลก็เกิดปัญหาอย่างแน่นอน ดังนั้น การสวนทางของพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคแกนนำ จึงทำให้ประชาชนต้องการให้รัฐบาลปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งตรงกับผลสำรวจของบางสำนัก ที่พบว่าเสียงส่วนใหญ่ต้องการให้ปรับครม.โดยเร็วที่สุดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลและมีความเอกภาพ รวมถึงการทำงานมีประสิทธิภาพ


“แม้นายกฯ จะมีความเกรงใจพรรคร่วมรัฐบาล แม้ความเกรงใจจะเป็นสมบัติของผู้ดี แต่ความเกรงใจที่มีต่อพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลแต่อย่างใด ที่สำคัญเกิดเหตุการณ์แบบนี้มานานจนประชาชนเกิดความเอื้อมระอาในละครตบจูบ จึงขอให้นายกฯมีความชัดเจนว่าจะบริหารประเทศ​ถูลู่ถูกังอย่างนี้ต่อไป หรือจะปรับครม.ให้เกิดความเชื่อมั่นต่อประชาชน” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลที่ระดับเลขาธิการพรรค ที่อ้างว่าเป็นลูกใครต่อที่ประชุมสภาฯอาจจะเป็นเงาทมิฬ เพื่อจะข่มขู่นายกฯหรือไม่ ไม่ทราบ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเห็นชัดเจนว่าไม่เกิดบรรยากาศของความร่วมมืออีกต่อไปแล้ว เพื่อความชัดเจนขอให้พรรคร่วมรัฐบาลดังกล่าว ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลจะดีกว่า โดยไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาล เมื่อไม่มีพรรคการเมืองบางพรรคแล้วจะอยู่ไม่ได้ และเสถียรภาพของรัฐบาลจะไม่ต้องกังวลของตัวเลขที่ปริ่มน้ำ แต่ขอให้คิดถึงศัทธาของประชาชนที่ปริ่มน้ำมากกว่า ถ้าเดินไปข้างหน้าเป็นการเมืองแบบละครตบจูบไปเรื่อยๆจะเสื่อมศัทธาทั้งรัฐบาลและจะทำให้ประชาชนหมดความหวัง


“ดังนั้นถ้ารัฐบาลรีบปรับครม. เพื่อสร้างศัทธาก็จะสามารถดำเนินการทางการเมืองต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือพรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่าไม่สามารถร่วมงานต่อไปได้ ก็ประกาศความชัดเจนถอนตัวออกมา อย่าให้เป็นคนอมโรค ถูลู่ถูกังกันไปอย่างนี้ เพียงเพื่ออยากเป็นรัฐบาลต่อไป โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เพราะศัทธาของประชาชนจะสามารถค้ำยันให้รัฐบาลมห้บริหารต่อไปได้ ไม่ใช่ตัวเลขของสส.อย่างเดียว เดี๋ยวจะพากันไปทั้งรัฐบาล” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า การปรับครม.ควรจะทำเร็วที่สุด สามารถปรับก่อนเปิดสมัยประชุมสภาฯได้ และควรจะปรับก่อนที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 69 เข้าสภาฯ​เพราะถ้างบประมาณเข้าสภาฯ จะเกิดละครการต่อรองเสียงในการลงมติ เพื่อรับหลักการแรก และนั่นจะเป็นลางหายนะ เพราะเอางบฯของประเทศมาเป็นเครื่องต่อรอง และจะปรับกระทรวงไหนอยู่ที่ดุลยพินิจของนายกฯและแกนนำรัฐบาล เพราะเป็นผู้นำก็ควรแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ

เมื่อถามว่า แกนนำที่ระบุคือพรรคภูมิใจไทยใช่หรือไม่ นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า แกนนำคือพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมคือพรรคภูมิใจไทย ดังนั้น พรรคเพื่อไทยต้องแสดงความเป็นผู้นำด้วยการตัดที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ทำให้เกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล คือพรรคร่วมรัฐบาลที่ท้าทายกลางสภาฯ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง เพราะท้าทายให้เห็นชัดเจนแล้วว่าไม่เอาด้วยแล้ว แล้วยังทนอยู่ไปทำไม ส่วนที่หัวหน้าพรรคที่ท้าทายในสภาฯ ก็ออกมาบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรนั้น คือละครที่ประชาชนเบื่อหน่ายแล้ว ซึ่งตนเชื่อว่าเขายังมีความขัดแย้งและต่อรอง เล่นละครอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามทำให้การทำงานในสภาฯ มีปัญหาเกี่ยวกับการโหวตกฎหมายสำคัญ โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน จะเป็นข้อต่อรองในเรื่องการสมประโยชน์และแลกเปลี่ยนกัน หากเอาเหตุผลอย่างนี้มาใช้กับประเทศเราตลอดเวลาตนเชื่อว่าต่อไปจะเกิดความเสียหาย


เมื่อถามว่า ในส่วนของวุฒิสภาจะมีข้อขัดแย้งหรือไม่ นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าแล้วแต่ที่มาของสว.แต่ละคน ว่ามาอย่างไร แม้พรรคการเมืองจะมีปัญหากัน ในส่วนของสว.ก็อยู่ที่บทบาทว่าเป็นเงาของพรรคการเมืองหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเป็นเงาของพรรคการเมืองจนชัดเจนเกินไป แม้จะบอกว่าไม่ยึดโยงพรรคการเมือง แต่พฤติกรรมที่แสดงออกเหมือนเป็นลูกไล่ของพรรคการเมือง ซึ่งประชาชนมองว่าสว.ควรอยู่ในฐานะที่ทำงานกับทุกฝ่ายได้มากกว่านี้ ถ้าต่อต้านพรรคหนึ่งแล้วเห็นดีกับพรรคหนึ่ง คงจะไม่ใช่สว.

เมื่อถามว่าจากโพลที่สำรวจออกมาการปรับ ครม. นั้นไม่มีกระทรวงของพรรคภูมิใจไทย นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า เท่าที่ตนดู กระทรวงเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่น่าปรับ โดยเฉพาะหัวหน้ากระทรวงทางเศรษฐกิจที่ต้องไปเจรจา ประธานาธิบดีของสหรัฐฯหากไปโดยที่ไม่มีความเชื่อมั่น ในส่วนนี้ก็น่าจะกระทบต่อเรื่องที่ไปเจรจาพอสมควร สำหรับพรรคร่วมรัฐบาลอาจเห็นว่าสามารถคุมกระทรวงมหาดไทยได้ถือว่ามีหมากที่เหนือกว่าพรรคแกนนำ จึงแสดงอาการแตกแยกกับพรรคแกนนำอยู่โดยตลอด พรรคแกนนำเองก็เหมือนมีอะไรที่ต้องต่อรองอยู่ตลอด

“เอาให้ชัดถ้าพรรคร่วมรัฐบาลบอกว่าจะไม่เห็นชอบกับรัฐบาลอีกต่อไปก็ถอนตัวออกมา เพราะมีคนที่ทำงานได้ในรัฐสภาอยู่ไม่น้อยแม้ว่าจะปริ่มน้ำในคะแนนเสียง แต่สามารถสร้างศรัทธาได้ หากเสียงท่วมท้นสภาฯ แต่เกิดความไม่ชัดเจนเรื่องความร่วมมือปัญหาจะเกิดขึ้นมากกว่า เพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะมีการโหวตสวนทางและเกิดปัญหาตบจูบกันอีก ดังนั้น ถ้าพรรคไหนไม่เอาด้วยกับรัฐบาลก็ปรับออก” นพ.เปรมศักดิ์กล่าว

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวยกตัวอย่างในอดีตว่าเคยมีเสียงของรัฐบาล ที่ไม่ได้เกินกันมากแต่บริหารได้ เพราะมีศรัทธาต่อประชาชนและมีผลงานให้ประชาชนมองว่าพึ่งพาได้ แต่หากเสียงเยอะ แต่เกิดความไม่เชื่อมั่นว่ากฎหมายจะผ่านสภาได้หรือไม่เพราะพรรคร่วมต่อรองด้วยคะแนนเสียงอยู่ตลอด ตนเคยทำงานในสภาผู้แทนราษฎรมาก่อน ก็ไม่เคยเห็นพรรคไหนจะท้าทายซึ่งกันและกันอย่างเปิดเผยขนาดนี้ และยังอยู่ด้วยกันได้ขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดชื่อ “73 อรหันต์” ถกร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 ประชุมนัดแรก 9 มิ.ย.

รัฐสภา 31 พ.ค. – เปิดชื่อ “73 อรหันต์” ถกร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 69 ประชุมนัดแรก 9 มิ.ย.นี้ เคาะประธาน-รองประธาน วางกรอบการทำงาน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 73 คน ประกอบด้วย สัดส่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) จำนวน 18 คน คือ 1. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง 2. นายจักรพงษ์ แสงมณี 3. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง 4. นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม 5. นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ 6. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ […]

สภาวุ่น! งูเห่าไทยสร้างไทย เสนอชื่อ กมธ.งบฯ แข่ง

รัฐสภา 31 พ.ค.- สภาวุ่น! งูเห่าไทยสร้างไทย เสนอชื่อ กมธ.งบฯ แข่ง ประธานสั่งพักประชุม 5 นาที สุดท้ายงูเห่ายอมถอย ไปอยู่สัดส่วน ครม.แทน การประชุมสภาผู้แทนราษฎรหลังที่ประชุมมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติพิจารณางบประมาณรายจ่ายงบประมาณ 2569 ในขั้นตอนการเสนอชื่อกรรมาธิการวิสามัญฯ จำนวน 73 คน ในสัดส่วนของพรรคไทยสร้างไทย จำนวน 1 คน โดยนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิปฝ่ายค้าน และ สส.พรรคประชาชน ได้เสนอชื่อ นายชัชวาล แพทยาไทย ขณะที่นางสุภาพร สลับศรี สส.พรรคไทยสร้างไทย นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ทำให้เกิดการประท้วงกันเนื่องจากมีการเสนอชื่อ 2 คน แต่ปกรณ์วุฒิ ยืนยันว่าพรรคไทยสร้างไทยมีหนังจากกรรมการบริหารพรรคว่าจะเสนอชื่อนายชัชวาล เป็นตัวแทนของพรรคทำให้นายฐากูร ยืนยันว่าที่ผ่านมาการเสนอชื่อบุคคลเป็นกรรมาธิการวิสามัญจะต้องถูกเสนอโดยคนของพรรคตัวเอง ไม่ใช่พรรคอื่น ซึ่งวันนี้พรรคไทยสร้างไทยเสนอชื่อตน แต่พรรคการเมืองอื่นเป็นเสนอชื่ออีกคน ทำให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ประธานในที่ประชุม วินิจฉัยว่า ใครจะเป็นผู้เสนอชื่อก็ได้ขอแค่มีผู้รับรอง ก่อนจะให้เวลาทั้ง 2 ฝ่ายหารือกัน […]

“ชาดา” ปลุกรัฐบาล ถ้าไม่แจกเงินหมื่น “นายกฯ เท้ง” มาแน่

รัฐสภา 31 พ.ค.-“ชาดา” ปลุกรัฐบาล ถ้าไม่แจกเงินหมื่น “นายกฯ เท้ง” มาแน่ ลั่นถ้าทำให้นายกฯ ไม่ได้ ก็เปลี่ยนตัว เอาคนอื่นไปนั่งแทน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วาระร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 นายชาดา กล่าวว่าในฐานะที่อยู่ในสภาฯ มาพอสมควร ขอชื่นชมฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลมีการพัฒนาในการอภิปรายอย่างมาก ปี 69 มีงบประมาณลงทุน 7 แสนล้านบาท คนพูดกันตลอดเวลาว่าทำไมช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยในประเทศนี้จึงห่างขึ้นทุกวัน ยกตัวอย่าง ในงบลงทุนเป็นงบก่อสร้าง 4.75 แสนล้านบาท ซึ่งงบก่อสร้างไม่เหมือนในอดีตเพราะต้องถูกตัดไปให้ธนาคาร 5% จึงอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาดูเพราะเป็นการเอาเปรียบประชาชน ในจำนวนนี้มีค่าธรรมเนียม 2.5% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีเรื่องเร่งรัดการเบิกจ่ายอีก 15% ซึ่งธนาคารตัดไป 3% และคิดค่าธรรมเนียมอีกต่างหาก นายชาดา กล่าวว่างบก่อสร้าง มีเครื่องจักรเหล็กหินวัสดุที่เป็นปูน หากเป็นงานถนนมีแรงงานเพียง 15% เงินส่วนนี้ไม่ได้ไปสู่ระบบข้างล่าง […]

ฝากขังพระเอกลิเกฆ่าลูกเลี้ยงป่วยออทิสติก

นครราชสีมา 30 พ.ค. – ตำรวจคุมตัวพระเอกลิเกฆ่าลูกเลี้ยงป่วยออทิสติก และขืนใจลูกวัย 11 ขวบ ฝากขังศาลจังหวัดนครราชสีมา อ้างวันเกิดเหตุถูกผู้ตายด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ด้วยความโมโหและมึนเมาสุรา จึงก่อเหตุ ความคืบหน้ากรณีพ่อเลี้ยงพระเอกลิเกสุดโหดใช้ค้อนสำหรับทุบหมู ทำร้ายลูกเลี้ยงนางเอกลิเกที่ป่วยเป็นโรคออทิสติก จนบาดเจ็บเลือดคั่งในสมอง ก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครราชสีมาบุกรวบตัวผู้ต้องหาคือ นายกิติทัช อายุ 48 ปี พระเอกลิเกชื่อ “รักยิ้ม ทับทิมสยาม” พ่อเลี้ยง ได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ เมื่อคืนที่ผ่านมา (29 พ.ค.) ขณะผู้ต้องหากำลังเตรียมหลบหนีไปประเทศกัมพูชา ก่อนจะควบคุมตัวมายังสถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา เพื่อสอบปากคำ เช้าวันนี้ (30 พ.ค.) พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา คุมตัวผู้ต้องหามาสอบสวนขยายผล จนผู้ต้องหา ยอมให้การรับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุจริง อ้างว่าในวันเกิดเหตุถูกผู้ตายด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ด้วยความโมโห พร้อมกับมีอาการมึนเมาจากการดื่มสุรา จึงลงมือก่อเหตุดังกล่าว เบื้องต้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา “ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย” ส่วนข้อหากระทำอนาจารต่อลูกสาววัย 11 ขวบ ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่พบหลักฐาน หากตรวจพบหลักฐานที่ชัดเจนจะแจ้งข้อหาเพิ่มเติม ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังศาลจังหวัดนครราชสีมา […]

ข่าวแนะนำ

วิวคว้าแชมป์

“วิว-บาส-เฟม” คว้าแชมป์แบดฯ สิงคโปร์ โอเพ่น

1 มิ.ย. – “วิว กุลวุฒิ” ตบชนะ ลู กวาง ซู จากจีน 2 เกมรวด คว้าแชมป์ชายเดี่ยวแบดมินตันสิงคโปร์ โอเพ่น ส่วน “บาส-เฟม” คว้าแชมป์คู่ผสมมาครองได้สำเร็จ แบดมินตัน ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 รายการ สิงคโปร์ โอเพ่น ที่ประเทศสิงคโปร์ ประเภทชายเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่ชาวไทย ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักของไทยคนแรกที่ขึ้นมือ 1 ของโลก ตบเอาชนะ ลู กวาง ซู จากจีน 2 เกมรวด 21-6 , 21-10 คว้าแชมป์ไปครอง พร้อมฉลองแชมป์ ก่อนขึ้นมือ 1 ของโลกอย่างทางการในสัปดาห์ในการประกาศจากสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) และยังเป็นแชมป์ที่ 4 ในปีนี้ของ “วิว” […]

“วิว กุลวุฒิ” นักแบดชายเดี่ยวไทยคนแรก ขึ้นเป็นมือ 1 โลก

สิงคโปร์ 1 มิ.ย.-“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่ มือ 2 ของโลก ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ แบดมินตัน สิงคโปร์ โอเพ่น 2025 พร้อมจะขยับขึ้นเป็นมือ 1 โลกชายเดี่ยว เป็นคนแรกของไทย ผลการแข่งขัน แบดมินตัน สิงคโปร์ โอเพ่น 2025 รายการระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 33 ล้านบาท ที่สิงคโปร์ ประเภทชายเดี่ยว รอบรองชนะเลิศ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือ 2 ของโลก และเจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก “ปารีสเกมส์ 2024” ตบเอาชนะ หลิน ชุนยี่ มือ 19 ของโลก จากไต้หวัน 2-0 เกม 21-11 […]

นายกฯ โพสต์แสดงความยินดี “โอปอล-วิว” สร้างประวัติศาสตร์ไทย

ทำเนียบฯ 1 มิ.ย. – นายกฯ โพสต์แสดงความยินดีกับ “โอปอล สุชาตา” คว้ามงกุฎมิสเวิลด์ 2025 คนแรกของประเทศไทย และ “วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์” สร้างประวัติศาสตร์นักแบดมินตันชายเดี่ยวไทยคนเเรกขึ้นมือ 1 โลก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์แสดงความยินดีกับคุณโอปอล สุชาตา มิสเวิลด์ 2025 คนแรกของประเทศไทย และคุณวิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันชายเดี่ยวคนแรกของไทยที่ขึ้นมือ 1 โลกอย่างไม่เป็นทางการค่ะ ทั้ง 2 ข่าวใหญ่ในวันนี้สร้างความภูมิใจให้คนไทยทั้งประเทศ ด้วยความพยายาม ความมุ่งมั่น ของคุณโอปอล และคุณวิว ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้คนไทยทั้งประเทศ ความสำเร็จของทั้ง 2 ท่านในวันนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ เยาวชนและคนไทยค่ะ 🇹🇭❤️#โอปอลสุชาตา #วิวกุลวุฒิ #MissWorldThailand .-314-สำนักข่าวไทย

ซ้อมเสมือนจริง

ผบ.กกล.บูรพา ตรวจความพร้อมรบ เสริมศักยภาพป้องกันชายแดน

สระแก้ว 1 มิ.ย. – ซ้อมเสมือนจริง “ผบ.กกล.บูรพา“ ตรวจความพร้อมรบ เพื่อให้พร้อมรองรับภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายในพื้นที่ชายแดน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (31 พ.ค.) ที่บ้านหนองสังข์ ต.หนองสังข์ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผบ.พล.ร.2 รอ. ในฐานะ ผบ.กกล.บูรพา เป็นประธานตรวจสภาพความพร้อมรบตามระเบียบปฏิบัติประจำของหน่วยเฉพาะกิจกองพันทหารราบยานเกราะ (ร.12 พัน.2 รอ.) หลังจากที่ได้ดำเนินการ เคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เข้าสู่ที่รวมพล บริเวณกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 126 ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้ ปฏิบัติภารกิจของหน่วยเมื่อได้รับมอบจากหน่วยเหนือ โดย ผบ.พล.ร.2รอ./ผบ.กกล.บูรพา ได้เน้นย้ำสั่งการในเรื่องการรักษาระเบียบวินัยของกำลังพลในการปฏิบัติหน้าที่ การแสดงภาพลักษณ์ที่ดี แสดงกำลังให้ประชาชนในพื้นที่ เชื่อมั่นในการรักษา ปกป้อง ประเทศชาติ และให้ใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชา ในสายการบังคับบัญชาของตนเอง ในทุกระดับ พร้อมทั้งสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ผสมผสานกับความเป็นผู้นำ และให้เตรียมความพร้อมของกำลังพลที่พร้อมจะปฏิบัติหน้าที่เมื่อได้รับภารกิจจากหน่วยเหนือ.-313-สำนักข่าวไทย