นครนิวยอร์ก 12 มี.ค.- “วราวุธ” กล่าวถ้อยแถลง เวที CSW 69 ยกสิทธิสตรี คือ สิทธิมนุษยชน ชู “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” เป็นผู้นำหญิงรุ่นใหม่ มีความสามารถ-ขับเคลื่อนนโยบายหลายด้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ ตามเวลาท้องถิ่น นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย นำคณะเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรีสมัยที่ 69 (Commission on the Status of Women) หรือการประชุม CSW 69 ซึ่งปีนี้เป็นวาระครบรอบ 30 ปี ปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี ในช่วงบ่าย เวลา 15.00 น. นายวราวุธและคณะได้เข้าร่วมการประชุมการติดตามผลการประชุมโลกว่าด้วยสตรี ครั้งที่ 4 และผลลัพธ์ของการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 23 ภายใต้หัวข้อ “สตรี 2000: ความเสมอภาคระหว่างเพศ การพัฒนา และสันติภาพสำหรับศตวรรษที่ 21”
นายวราวุธได้กล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย ระบุว่า นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้กล่าวต่อที่ประชุม CSW 69 ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ปี 2025 ซึ่งถือเป็นปีที่ครบรอบ 30 ปีของปฏิญญาปักกิ่ง แน่นอนว่าเราภูมิใจในความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในหลายด้าน แต่ยังตระหนักดีว่าเราจำเป็นต้องทำงานร่วมกันต่อไปเพื่อบรรลุพันธสัญญาที่สำคัญว่า “สิทธิมนุษยชนคือสิทธิสตรี และสิทธิสตรีคือสิทธิมนุษยชน” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี


นายวราวุธ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย เรายังคงมุ่งมั่นในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะยังคงพยายามที่จะผนวกมุมมองเรื่องความเท่าเทียมทางเพศเข้าสู่การขับเคลื่อนนโยบายในทุกด้าน ถือว่าเป็นงานที่สำคัญ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลไทย เป็นผู้นำหญิงรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ได้ริเริ่มนโยบายหลายด้านเพื่อขับเคลื่อนพันธสัญญา ภายใต้ปฏิญญาปักกิ่ง อาทิ นโยบายด้านการจ้างงานและเศรษฐกิจ , การยุติความรุนแรงต่อสตรี , การขจัดความยากจน , การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของสตรีและเด็กหญิง LGBTQIA+ และบุคคลที่เผชิญกับการเลือกปฏิบัติที่ซับซ้อนหลากหลายมิติ
นายวราวุธ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าที่สำคัญด้วยการออกกฎหมายสำคัญ คือ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศที่สามในเอเชีย และประเทศที่ 37 ของโลกที่ออกกฎหมายนี้ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2025 กฎหมายนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ แสดงให้เห็นว่าความรักไม่มีขอบเขตจำกัด ในส่วนของนโยบายการจัดการกับความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ เราดำเนินการอย่างเคร่งครัดเช่นกัน ซึ่งประเทศไทยได้จัดตั้งศูนย์จัดการภาวะฉุกเฉินด้านความมั่นคงของมนุษย์ บริการตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านสายด่วนและแอปพลิเคชันต่างๆ โดยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่เผชิญปัญหาทางสังคม โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรงทางเพศ นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างประชากร ผู้หญิงจึงเป็นพลังสำคัญในการเอาชนะกับดักนี้ กระทรวง พม. ได้พัฒนานโยบาย “5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร” ที่มุ่งรับมือกับความท้าทายจาก “สังคมสูงวัย” โดยให้โอกาสและทางเลือกในการเสริมสร้างความสามารถของผู้หญิงในตลาดแรงงานและการดูแลครอบครัว
นายวราวุธ กล่าวว่า ขอรับรองว่าตนและรัฐบาลไทยจะยังคงต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศต่อไป มุ่งมั่นที่จะทำให้อนาคตนี้เป็นจริง และหวังว่าปฏิญญาทางการเมืองที่ได้รับการรับรองเมื่อวานนี้จะเป็นแรงผลักดันสู่ความเท่าเทียมทางเพศที่แท้จริง และเราเชื่ออย่างแท้จริงว่าความเท่าเทียมทางเพศไม่ใช่เพียงเป้าหมาย แต่เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ หากเราไม่ทำอะไรในวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนหน้า หรืออีกหลายปีข้างหน้า หรือแม้แต่ในอีก 30 ปีข้างหน้า เราก็จะไม่มีวันบรรลุเป้าหมายของความเท่าเทียมทางเพศ และถ้าไม่ใช่พวกเราแล้วจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะเป็นเมื่อไหร่ ดังนั้น ขอให้เราฉวยโอกาสนี้สร้างโลกที่เท่าเทียมทางเพศอย่างแท้จริงสำหรับทุกคน “การทำงานของประเทศไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในผลงานสำคัญคือการออกกฏหมายสมรสเท่าเทียมทำให้บุคคลสองคนสามารถแต่งงานกันได้โดยไม่แบ่งเพศว่าหญิงหรือชาย ในขณะที่นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลไทยเป็นสุภาพสตรีที่มีความสามารถจึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการปกป้องสิทธิสตรีและส่งเสริมพลังสตรีทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม” นายวราวุธ กล่าว .314.-สำนักข่าวไทย