กัมพูชา 8 มี.ค. – “มาริษ” แท็กทีมสถาบันโพธิคยา ส่งนักกีฬาร่วมฟาดแข้งกระชับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ปลุกกระแสคนรุ่นใหม่อิงธรรมะสร้างสันติ ชี้ สังคมอยู่ร่วมกัน มีวัฒนธรรมร่วม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางมาเยือนประเทศกัมพูชาในครั้งนี้ ตามคำเชิญของนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อร่วมเป็นประธานการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร คู่แรกเป็นนักมวยไทย พบกับ นักชกกุนขแมร์ และคู่ที่สองเป็นทีมรวมออลสตาร์อินฟลูเอนเซอร์ไทย-กัมพูชา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในภาคประชาชน รวมถึงฉลองครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 75 ปีของทั้ง 2 ประเทศ ด้วยความสนับสนุนจากสถาบันโพธิคยาวิชาลัย 980 และมูลนิธิวีระภุชงค์
“ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศดีเยี่ยมอยู่แล้ว แต่อยากส่งเสริมให้ฝังรากลึกลงไปถึงภาคประชาชน มุ่งเน้นที่ Young Generation คนรุ่นใหม่ ต้องสอนให้เขาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ“ นายมาริษ กล่าว
นายมาริษ กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งเป้าหมายของกิจกรรมนี้ คือการสอดแทรกหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเข้าไปด้วย โดยทีมตัวแทนคนรุ่นใหม่ของทั้ง 2 ประเทศ ได้รับการอบรมปลูกฝังให้เข้าใจหลักธรรมคำสอน เพื่อเสริมสร้างความรักและสามัคคี และทำให้ทุกคนเป็นคนดี ละกิเลส ซึ่งมองว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีจากกิจกรรมนี้
ด้าน นายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชาลัย 980 กล่าว่า ในอดีตชาวลุ่มแม่น้ำโขง 5 ประเทศประกอบด้วย ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม เมียนมา ซึ่งอดีตเราจะอยู่กัน โดยไม่มีพรมแดน ไม่มีรั้วบ้านอยู่กันได้ทุกชาติศาสนา เพราะเราอยู่กันด้วยจิตวิญญาณ ด้วยความเป็นมนุษย์อยู่ด้วยความเข้าใจและไว้ใจ อยู่บนพื้นฐานของธรรม ขณะที่ปัจจุบันสังคมโลกมีทั้งกฎสังคม มีกฎหมาย แต่สังคมก็ยังมีแต่ความเอาเปรียบ มีความโลภโกรธหลง เราจะอยาก เห็นอดีตกลับมาสู่ปัจจุบัน ด้วยการสร้างศตวรรษแห่งธรรมให้กับคนรุ่นใหม่ในดินแดนลุ่มน้ำโขง ซึ่งคิ๊กออฟอย่างเป็นทางการในกิจกรรมธรรมยาตราครั้งที่ 4 และครั้งนี้ เจาะลึกลงถึงระดับประชาชน ด้วยการ แข่งขันฟุตบอลกระชับความสัมพันธ์ 75 ปีไปกัมพูชา จำนวน 2 ทีม คือ All Star Thailand และทีมนักมวย ของ 2 ประเทศ พร้อมให้ความรู้เด็กๆได้เริ่มรับฟัง นอกจากการประสบความสำเร็จทางโลกมีเงินมีทรัพย์สินในการดูแลตัวเองและครอบครัวแล้ว ยังไม่พอ ต้องกลับมีอริยทรัพย์มีคุณงามความดีและสิ่งสำคัญคือต้องการลดความขัดแย้ง ซึ่งวันนี้ดูเหมือนจะไม่มีคนสอน แล้วเด็กจะเข้าใจผิดคิดเองว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของตัวเอง เป็นการเอาอดีตมาพูด
“โดยเฉพาะปัญหา เรื่องมวย อย่างกรณีคุณขแมร์เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมามีประเด็นการค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเด็กกัมพูชาจะบอกว่าเขาเป็นเจ้าของมวย เพราะมีการสลักอยู่ในผนัง ปราสาทบายน ซึ่งมีอายุยืนยาวกว่า 800 ปี แต่ประเทศไทยเองก็มีมวยไทย ซึ่งความจริงแล้วบรรพบุรุษของเราอยู่ร่วมกันมาเป็นพันๆปี เราไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของเพราะเราร่วมกันสร้าง วัฒนธรรมความเชื่อนี้ อย่างไรก็ตามต่อมาสถานการณ์โลกเปลี่ยนเกิดมีพรมแดน แต่องค์ความรู้นี้ไม่ใช่เป็นองค์ความรู้ของชาติใดชาติหนึ่ง แต่เป็นองค์ความรู้ที่บรรพบุรุษร่วมกันสร้างมา เราเป็นพี่น้องกัน จึงอยากสร้างองค์ความรู้นี้ให้กับลูกหลานทั้งแผ่นดินสุวรรณภูมิ ได้เข้าใจที่มาที่ไปและลดละอัตตา เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของ นี่คือหลักธรรมะคืออนัตตา ที่ควรระวางตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและผู้ใหญ่ก็ต้องสอน เราอยากจะแก้ปัญหาให้กับลูกหลาน ไม่อยากให้ต้องมานั่งรบตาฆ่าฟันกันในอนาคต มันคงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเลยถ้าจะปล่อยให้กระแสสังคมไหลไปแบบนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ควรมาช่วยกันพูด เติมหลักธรรมความคิดที่ถูกต้อง นี่คือเป้าหมายของการจัดงานศตวรรษแห่งธรรม”นายสุภชัย กล่าว


ดร.สุภชัย กล่าวต่อว่า สำหรับผลการแข่งขันวันนี้ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะแต่ถ้วยรางวัลนี้จะมอบให้กับทั้ง 4 ทีม เพราะเป็นถ้วยรางวัลที่เปรียบเสมือนได้มาจากการพระราชทานรางวัลจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการสร้างแก่นทำให้ปักหลักในดินแดนลุ่มน้ำโขง หรือดินแดนสุวรรณภูมิต่อไป และจะสามารถขับเคลื่อนเหมือนกองทัพธรรมในอดีตไปในกลุ่มเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก รวมถึงทั้งโลกต่อไป นี่คือความฝัน อาจจะคิดใหญ่มาก แต่ก็มั่นใจว่า เป้าหมายและศรัทธา อันมั่นคงโดยปราศจาก อคติและผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝง เชื่อว่ามนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่าง ถ้ามีความเข้าใจใน 5 หลักการ 1 มีศรัทธา ตั้งมั่นการ์ดไม่ตก 2. ความเป็นปกติของมนุษย์ไม่ทำให้ตนเอง และผู้อื่นเดือดร้อน 3.มีความเข้าใจในการทำให้เราเกิดสติตลอดเวลา 4. ความเสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน และ 5. การทำให้เกิดปัญญา มีความเข้าใจในการเกิดดับ ของอารมณ์
“เพราะฉะนั้นถ้าคิดให้เป็น พูดง่ายๆ เรามีรากเหง้าเดียวกัน แต่นั่นคือปัญหาของสิ่งแวดล้อมโลก เราต้องหลีกเลี่ยงการขัดแย้ง ต้องเข้าใจค่อยๆ ฟังและหาจุดจบสุดท้ายด้วยเหตุและผล เพื่อไม่ให้นำมาซึ่งสงคราม เพราะต่อให้มีสงครามสุดท้ายแล้วก็ต้องจบลงด้วยการเจรจา นี่คือเป้าหมายของการคิ๊กออฟโครงการนี้เพื่อสร้างดินแดนนี้ให้กลับมารุ่งเรือง ยิ่งใหญ่และเป็นตัวอย่างให้กับชาวโลกได้เห็นว่าชาวพุทธลุ่มน้ำโขง 5 แผ่นดินทำได้ เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เรานำเสนอนี้อาจจะนำไปสู่การสร้างกติกาโลก ในระยะต่อไป โดยการยุดใช้เงินและอำนาจในการปกครอง แต่ให้มีการใช้ธรรมะเป็นธรรม รู้จักใช้ธรรมเป็นอำนาจ ไม่ใช่ใช้อำนาจเป็นธรรม” นายสุภชัย กล่าว. 319.-สำนักข่าวไทย