รัฐสภา 19 มิ.ย.-“สรรเพชญ” สส.ปชป. ฉะรัฐบาล กู้ทำโครงการฯ หวังผลทางการเมือง ชี้เป็นการกู้ชดเชยการขาดดุลสูงเป็นประวัติการณ์
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 นายสรรเพชญ บุญญามณี สส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายข้อสังเกตต่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ว่างบประมาณรายจ่ายที่พิจารณาในวันนี้ รัฐบาลมีอำนาจเต็มในการจัดสรรงบประมาณไม่เหมือนกับงบประมาณฉบับที่ผ่านมา สิ่งที่เห็น คือ รัฐบาลมีความพยายามที่จะทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีโดยไม่สนใจผลกระทบที่จะตามมา และทำงบประมาณแบบไม่รับผิดชอบ
นายสรรเพชญ กล่าวว่า เมื่อครั้งที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน เคยให้ฉายารัฐบาลว่า “นักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา” แต่พอพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลกลับกู้เงินที่สูงเป็นประวัติการณ์ซึ่งจะพาประเทศลงเหว ซึ่งรัฐบาลกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่สูงถึง 865,700 ล้านบาท หากจะกู้เพื่อมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น โครงการท่าเรือน้ำลึก ตามที่เคยอภิปรายไว้ในสภาจะไม่ติดใจ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำคือจะกู้เงินเพื่อมาแจก เป็นสิ่งที่ไม่สมควร
นายสรรเพชญ กล่าวเพิ่มเติมว่า สัญญาณเตือนเรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องหาแนวทางในการแก้ไข เพราะปัจจุบันแม้จะขยายเพดานหนี้สาธารณะอยู่ที่ 70% แต่สัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ 67.9% แล้ว จึงมีความเป็นห่วงว่า ปีงบประมาณหน้าอาจจะอยู่ที่ 69.9% เพราะจากสถิติของปี 2564-2566 สัดส่วนหนี้สาธารณะขยับขึ้นปีละ 2% ซึ่งในสากลมีเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 60% หากส่วนนี้เกินแสดงว่ารัฐบาลกำลังใช้จ่ายเกินตัว เป็นสัญญาณเตือนแรกที่รัฐบาลต้องระมัดระวัง
นอกจากนี้ ในเรื่องของสัดส่วนการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณต่อ GDP ซึ่งตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ 4.5% โดยเกณฑ์มาตรฐานไม่ควรเกิน 3% กำลังสะท้อนว่ารัฐบาลกำลังใช้จ่ายเกินตัว เป็นการกู้ชดเชยการขาดดุลสูงเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลก็มีความน่าเป็นห่วงที่จะจัดเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามเป้า ทำให้ต้องกู้ชดเชยเพิ่มขึ้นอีก
นายสรรเพชญ ตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่า มีกระแสข่าวว่ากระทรวงการคลังมีแนวคิดที่จะออกพันธบัตรเพื่อกู้เงินในต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังไม่เคยออกมาแถลงเพื่อให้ความกระจ่างแต่อย่างใด หากรัฐบาลจะออกพันธบัตรเพื่อมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะหลักการที่สำคัญคือรัฐบาลควรก่อหนี้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าใช้จ่ายในงบประมาณ
นายสรรเพชญ กล่าวว่า เรื่องของ Digital Wallet ที่เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่ได้สอดไส้งบประมาณไว้ในรายจ่ายงบกลางกว่า 152,700 ล้านบาท ในขณะที่งบประมาณที่เหลือรัฐบาลต้องไปเบียดบังมาจากงบประมาณปี 2567 และรีดให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการไปก่อน ซึ่งจะเกิดปัญหาภาระงบประมาณกึ่งการคลังในอนาคต
นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้ายว่า รายการขอของหน่วยงานต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนสูงถึง 6.5 ล้านล้านบาท แต่ต้องตัดทอนไปถึง 2.8 ล้านล้านบาท ทำให้โครงการดีๆ ของส่วนงานต่างๆ ไม่ได้รับการสนับสนุน แต่กลับไปใช้ในโครงการที่หวังผลทางการเมือง อีกทั้งรัฐบาลไม่ได้มีทรัพยากร หรือเงินมากมายที่จะให้รัฐบาลทำโครงการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์หรือที่เรียกว่ากู้ไปผลาญ รัฐบาลจึงควรนำเงินเหล่านี้ไปพัฒนาคนให้พร้อมต่อการแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต.-317.-สำนักข่าวไทย