เชียงใหม่ 8 มิ.ย.- นายกฯ บอก หลังคิกออฟเมืองน่าเที่ยวเชียงใหม่ ยังมีอีก 55 เมือง หวังดึง นทท. ต่างชาติอยู่ยาวในไทย กระตุ้นจับจ่ายต่อหัว ยืนยัน ยังไม่มีแผนยกเลิกเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน 300 บาท แม้เอกชนเรียกร้องรัฐทบทวน แต่พร้อมรับฟัง ขอก้าวข้ามมองเป็นความผิดของใคร หลังรายงานของ WEF พบ รอบ 10 ปีที่ผ่านมา อันดับท่องเที่ยวไทยลดลง ชี้ เสียงต่างชาติมีวาระแตกต่าง แต่เสียงประชาชนสำคัญกว่า
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่นอกเหนือจากพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่จะมีการวางหมุดหมายไปในพื้นที่อื่นอีกหรือไม่ ว่าเรื่องเมืองน่าเที่ยวยังมีอีก 55 เมือง ซึ่งเริ่มคิกออฟที่จังหวัดเชียงใหม่ และจะขยายไปอีก โดยเมืองไทยไม่ได้มีแค่กรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือพัทยา แต่การที่เรามีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 10,000,000 คน ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การใช้จ่ายต่อหัว กับระยะเวลาในการอยู่ภายในประเทศก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้านักท่องเที่ยวมาอยู่แค่เฉพาะกรุงเทพฯ ก็จะใช้เวลาไม่กี่วัน แต่ถ้ามากรุงเทพฯ แล้วไปต่อที่ลำพูน ลำปาง แพร่ ก็จะกลายเป็น 10 กว่าวัน เป็นการจับจ่ายใช้สอยและกระจายรายได้ ไปสู่ภูมิภาค หรือจังหวัดเมืองรอง และเป็นเรื่องที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นด้วยและพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น
ส่วนมาตรการเก็บภาษีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 300 บาท (ค่าธรรมเนียมเหยียบแผ่นดิน) ซึ่งมีภาคเอกชนออกมา อยากให้รัฐบาลทบทวน นายกรัฐมนตรีระบุว่ายังอยู่ในแนวคิด เพราะเราอยากให้คนเข้ามาก่อน แต่หากมองในระยะสั้นเรื่องรายได้ ที่เราได้จาก 300 บาทต่อหัว ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราจะได้ แต่ก็ต้องรู้ว่าหากนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะกว่านี้ 100 บาทและเขาไม่ต้องเสียเงิน 300 บาท แต่มาจับจ่ายมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ร้านอาหาร ร้านขายของต่างๆ เชื่อว่ารัฐบาลก็จะได้รายได้สูงกว่าจากตรงนี้ แต่ก็จะฟังจากทุกเสียง
เมื่อถามว่าหากมีการยกเลิกมาตรการดังกล่าว รัฐบาลจะสามารถนำรายได้ส่วนไหนมาทดแทนกองทุนฯ ที่ขาดหายไป นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเชื่อว่าหากมีรายได้ เสริม จากด้านอื่น เช่นการเก็บภาษี เราก็สามารถที่จะจัดสรรงบประมาณ เพื่อมาเข้าในกองทุนนี้ได้อยู่แล้ว
เมื่อถามถึงการจัดอันดับ การแข่งขันด้านการท่องเที่ยว จาก work economic forum พบว่าไทยตกลงไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนว่าเราก้าวข้าม การที่เป็นความผิดของใคร เนื่องรัฐบาลนี้ มาเพื่อที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ต้องให้ให้เกียรติรัฐบาลเก่า เพราะหลายเรื่องมีช่วงเวลาที่จำเป็น ต้องใช้ทรัพยากรหลายด้าน และตอนนี้เชื่อว่าทุกคนสามารถนำเอารายได้ เข้าสู่ประเทศได้ และตนก็ยังไม่เห็นรายงานของ WEF ดังกล่าว ซึ่งก็ยังคงมีอีกหลายผลสำรวจ จากหลายสำนักที่พบว่าหลายเมืองหลายเกาะของประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าเที่ยว ดังนั้นอย่าพังเพียงบางเสียง ตรงไหนที่ฟังแล้วมีกำลังใจมีเหตุมีผล ก็นำเอาไปพัฒนาต่อได้ ขอให้เอารายได้ของประชาชนเป็นหลัก เสียงสำคัญที่สุดคือเสียงของประชาชน ซึ่งต่างชาติก็จะมีวาระที่แตกต่างกันไป ส่วนแผนเสนองบประมาณของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ กำลังดำเนินการอยู่ และงบประมาณในการพัฒนาการท่องเที่ยวนั้นหากมีไอเดียใดที่ดีรัฐบาลก็พร้อมที่จะสนับสนุน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวขณะมีปัญหาฝุ่นละอองpm 2.5 ว่า เราก็พูดกันไปหลายหนแล้วซึ่งถ้าไปดู แผนที่จุดความร้อนบริเวณภาคเหนือ จะพบว่าปริมาณฝนลดลงไปเยอะมาก ลดลงไป 20 ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ ก็พยายามทำกันอยู่ รวมถึงมาตรการไม่รับซื้อข้าวโพด จากประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเผาซาก พร้อมยอมรับว่าอาจจะมีผลกระทบเรื่อง MOU กับประเทศเพื่อนบ้านบ้าง แต่หากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่า มีการเผา ก็สามารถนำไปต่อสู้ได้ .-316-สำนักข่าวไทย