มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี 14 พ.ค.-“พิชิต” สั่งสำนักพุทธฯ สอบกรณี “น้องไนซ์ เชื่อมจิต” ละเมิดพระพุทธศาสนาหรือไม่ เร่งทำความจริงให้ปรากฎ ทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ส่วนถ้าฉ้อโกง ผิดพ.ร.บ.คอมพ์หน้าที่จนท.รัฐต้องจัดการ
นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไม่สามารถเข้าไปจัดการกรณีน้องไนซ์ เชื่อมจิต ได้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เมื่อตนเข้ามารับตำแหน่งก็ได้ตรวจสอบด้วยตัวเอง กรณีดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแรกที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นเรื่องความเชื่อ ซึ่งรัฐธรรมนูญคุ้มครองเรื่องความเชื่อและลัทธิ และยังระบุว่าตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพียงสันนิษฐาน
“ขณะนี้สังคมเดินมาที่จุดขัดแย้งในฐานะที่กำกับสำนักพุทธฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นด้วยตนเองทราบว่าฝ่ายครอบครัวได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับภาคเอกชนที่มาร่วมตรวจสอบและไม่เห็นด้วย และปรากฏว่าภาคเอกชนมีทนายหลายคนร้องทุกข์กล่าวโทษที่กองปราบปราม จึงกลายเป็นกรณีของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเรื่องดังกล่าวหากติดตามตรวจสอบมีคดีบรรทัดฐานที่ใกล้เคียงกันและสามารถตรวจสอบได้ คือ คดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีการฟ้องเรื่องคดีหมิ่นประมาทเกี่ยวกับพระธรรมคำสั่งสอน ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด” นายพิชิต กล่าว
นายพชิต กล่าวว่า สามารถวัดเป็นเกณฑ์ได้ว่าพระธรรมคำสั่งสอนไม่ต้องซื้อไม่ต้องขายหาดูได้ในวัดต่าง ๆ มีการสอนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ขณะเดียวกันพร้อมเชิญชวนให้สื่อมวลชนเข้าไปดูคำพิพากษาคดีดังกล่าวที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย เพื่อแก้มุมต่าง ๆ นานาว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร พระธรรมหาได้โดยที่ไม่ต้องซื้อ หลักธรรมมะ ผู้ได้เห็นธรรมมะผู้นั้นคือตถาคต
“ในฐานะที่ผมดูแลศาสนาพุทธ ขอเรียกร้องว่าศรัทธาอย่าแกว่ง คือ หากศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็อย่าแกว่ง เพราะมีพระไตรปิฎกและครูบาอาจารย์ที่สอนมากมาย ส่วนอะไรที่ความเชื่อดังกล่าวไปล่วงเกินกฏหมายบ้านเมืองและมีผลกระทบเกิดความเสียหาย เมื่อไปแจ้งความก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฏหมายและการพิสูจน์ คล้ายกับคำพิพากษา เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) ได้เชิญผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ และไปกราบพระผู้ใหญ่ในกรรมการมหาเถรสมาคม จึงมีข้อสั่งการให้ตรวจสอบความเชื่อที่เผยแพร่ตามสื่อสาธารณะต่าง ๆ พร้อมกับถามผู้รู้และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำความเข้าใจต่อสาธารณะขณะเดียวกันผู้อำนวยการสำนักพุทธ ระบุว่าหนักใจ เนื่องจากไม่ใช่เรื่องพระสงฆ์ หากเป็นเรื่องพระสงฆ์จะประสานงานให้ไวกว่านี้” นายพิชิต กล่าว
นายพิชิต กล่าวว่า ได้สั่งการไปว่าในส่วนของสำนักพุทธฯ ก็ต้องทำความจริงว่าพระไตรปิฏกระบุไว้อย่างไรและพระธรรมวินัยว่าอย่างไร รวมทั้งความเชื่อ ความศรัทธา ต้องอยู่ในร่องในเกณฑ์และต้องไม่ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง คิดว่าอีกไม่นานสำนักพุทธฯ จะทำความกระจ่างในเรื่องของพุทธศาสนา ส่วนการล่วงเกินกฎหมายบ้านเมืองจะอยู่ในกระบวนการยุติธรรมว่ามีฉ้อโกงหรือไม่และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ตามที่ได้กล่าวโทษไว้ หากล่วงเกินกฎหมายบ้านเมือง เป็นเรื่องเจ้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องต้องบังคับใช้กฏหมาย ซึ่งไม่ได้อยู่อำนาจของสำนักพุทธฯ แต่หากล่วงเกินพระพุทธศาสนาและพระไตรปิฎก บิดเบือนจากความจริง สั่งสำนักพุทธฯ ว่าต้องทำความจริงให้ปรากฏ ต้องทำความเข้าใจกับสังคม ให้ติดตามคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้เพื่อจะได้ข้อมูลในหลายแง่มุม.-317.-สำนักข่าวไทย