รัฐสภา 13 พ.ค.-“กมลทรรศน์” สส.ก้าวไกล เตรียมนำปมไฟไหม้โรงงานมาบตาพุด เข้า กมธ.อุตสาหกรรม 15 พ.ค.นี้ จี้ จ.ระยอง ทำโมเดลสื่อสารแจ้งเตือนประชาชนให้รับมือทันสถานการณ์
น.ส.กมลทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล สส.ระยอง พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงกรณีไฟโรงงานมาบตาพุด จ.ระยอง โดยแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ และขอเป็นกำลังใจให้ พร้อมชื่นชมการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่และนักผจญเพลิงที่ทุ่มเทระงับเหตุอย่างเต็มกำลังความสามารถ แม้จะเจอปัญหาอุปสรรคหลายอย่างที่อาจเป็นสาเหตุให้ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ในทันท่วงที
“ส่วนการแจ้งภาวะฉุกเฉิน การสื่อสารกับประชาชนและสื่อมวลชน มองว่า ค่อนข้างล่าช้า ไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความสับสนกับประชาชนในพื้นที่ประชาชน ที่ไม่รู้ว่าจะต้องป้องกันตัวเองอย่างไร มีชุมชนไหนบ้างที่ต้องอพยพ และไปอยู่ที่ไหน ไกลเท่าไหร่ถึงจะปลอดภัย สถานการณ์หน้างานไปถึงไหนแล้ว นอกจากนี้ การเฝ้าระวังคุณภาพอากาศของหน่วยงานที่ดูแลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของประชาชน ก็มีคำถามว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ การตรวจวัดสภาพอากาศเหมาะสมกับทิศทางลมหรือไม่ เพราะระหว่างเกิดเหตุมีประชาชนได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งการระคายเคือง การแสบตา แสบคอ เวียนศรีษะ อาเจียน เนื่องจากได้รับควันจากบริเวณโดยรอบ” น.ส.กมลทรรศน์ กล่าว
น.ส.กมลทรรศน์ กล่าวว่า งมีผู้ป่วยเข้ารับการตรวจสุขภาพจากสาธารณสุขของเทศบาลมาบตาพุด และโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ กว่า 100 คน ซึ่งมีอาการหนักกว่า 60 คน ในขณะที่ช่วงสุดท้ายตัวเลขตรวจวัดคุณภาพอากาศ กลับบอกว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็เป็นคำถามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าใช้เกณฑ์ในการวัดคุณภาพอากาศอย่างไร ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทที่เกิดเหตุจะยินดีชดเชยเยียวยาผู้เกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่ต้องร่วมกันทบทวนคือมาตรการ ไม่ว่าจะเป็นแผนการป้องกันเหตุ การประเมินความเสี่ยง แผนเผชิญเหตุต่างๆ แผนอพยพประชาชน แผนการสื่อสารกับประชาชน รวมไปถึงการฟื้นฟูเยียวยาประชาชนบริเวณโดยรอบของนิคมอุตสาหกรรม อาจต้องมีการทบทวนและปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ซึ่ง จ.ระยอง เป็นจังหวัดที่ถูกประกาศให้อยู่ในพื้นที่เขตควบคุมตั้งแต่ปี 2552 แต่จำนวนของโรงงานเพิ่มมากขึ้นทุกปี ดังนั้นศักยภาพในการเตรียมรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ระดับจังหวัดควรจะจะต้องมีการทบทวน และปรับลดจำนวนโรงงานเพื่อป้องกันไม่ให้อุตสาหกรรมสร้างผลกระทบประชาชนและสิ่งแวดล้อม
“โดยเฉพาะจ.ระยองต้องมีมาตรการของตัวเอง เช่น การสร้าง SMS เตือนภัย หรือข้อความแจ้งเตือนฉุกเฉินที่จะส่งตรงกับประชาชนในพื้นที่ ให้ได้รู้สถานการณ์ที่จะต้องเจอ เพื่อประเมินตัวเองและประเมินสถานการณ์ได้อย่างเร็ว รวมถึงช่องทางที่หน่วยงานราชการส่วนกลางจะต้องสื่อสารกับประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ง่ายต่อการวางแผนบริหารจัดการเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ซึ่งอาจต้องสร้างโมเดลสื่อสารเพื่อรับมือกับเหตุดังกล่าว ดิฉันจะนำข้อสังเกตปัญหาต่าง ๆ เข้าสู่กรรมาธิการวันที่ 15 พ.ค.นี้ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนิคมอุตสาหกรรม บริษัทที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม และบริษัทที่เกิดเหตุ เข้ามาชี้แจงและหาแนวทางร่วมกันป้องกัน รับมือกับแผนเผชิญเหตุในอนาคตต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจประชาชนที่อยู่รอบนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีทั้งเรื่องกากแคดเมียม และเรื่องไฟไหม้ เพราะตอนนี้เกิดบ่อยมาก ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้เกิด 10 กว่าครั้ง” น.ส.กมลทรรศน์ กล่าว.-312.-สำนักข่าวไทย