รัฐสภา 4 เม.ย.-“วิโรจน์” ปูดคนในรัฐบาลต่อสายกองทัพเรือ จ้องตบทรัพย์เรือฟริเกต ชี้นโยบายกองทัพยุค “สุทิน” ไม่มีอะไรใหม่ เป็นของเก่าสมัย “พล.อ.ประยุทธ์” เหน็บอย่าหวังได้คะแนนเลือกตั้ง ประชาชนกินข้าว ไม่ได้กินช็อกมินต์
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายทั่วไปรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ถึงนโยบายการปฏิรูปกองทัพของรัฐบาล โดยย้ำว่า การปฏิรูปกองทัพจะทำให้กองทัพมีความโปร่งใส ประชาชนมีความเชื่อใจในภารกิจทหาร ไม่ใช่การทำลายหรือด้อยค่ากองทัพ ตามที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ แต่เป็นการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับประชาชนดีขึ้น หากไม่ดำเนินการจริงจัง ประชาชนจะตั้งแง่คิดทางลบกับทุกการกระทำของกองทัพ
“หากกองทัพฝืนดำเนินการ ฝืนซื้ออาวุธ โดยไม่สนใจเสียงประชาชน ก็จะทำให้ภาพลักษณ์กองทัพตกต่ำลง และมีกลุ่มก้อนการเมือง ฉวยอคติประชาชนไปตบทรัพย์งบประมาณของกองทัพ ผมมีสายข่าวในกองทัพเรือเรื่องการจัดซื้อเรือฟริเกต วงเงิน 1,700 ล้านบาท มีคนของรัฐบาล พยายามต่อสายจะคุยกับกองทัพเรือด้วย แต่กองทัพฯ ปฏิเสธ และยอมถูกตัดงบเหลือ 850 ล้าน และสุดท้ายกองทัพเรือกลับถูกตัดงบประมาณดังกล่าว แม้กองทัพเรือจะขออุทธรณ์ กรรมาธิการงบประมาณ ก็ยังตัดงบประมาณ” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวา อีก 2 ปี เรือฟริเกต ไทยต้องปลดระวางอีก 1 ลำ ทำให้ไทยจะเหลือเรือฟริเกต เพียง 3 ลำ อาจทำให้ไม่เพียงพอ ทั้งที่มีความจำเป็น เพราะต้องคุ้มครองเส้นทางคมนาคมทางเรือ คุ้มกันเรือน้ำมันและเรือสินค้า รวมถึงลาดตระเวนแท่นขุดเจาะน้ำมัน การจัดซื้อเรือฟริเกตลำนี้ จะเป็นการต่อเรือรบขนาดใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย และได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศ เกิดการจ้างงาน และซื้อวัสดุในประเทศมหาศาล ดังนั้น การตัดงบประมาณครั้งนี้ จึงเป็นการตัดโอกาสประเทศ และอาจจะต้องรอถึงปี 2569 กองทัพเรือ ถึงจะของบประมาณใหม่ได้
นายวิโรจน์ ได้เปิดคลิปงานสัมมนาทิศทางอุตสาหกรรมเพื่อความมั่นคง ที่นายสุทินระบุ ขอให้สภากลาโหมจัดซื้อยุทโธปกรณ์ในประเทศ หรือหากซื้อไม่ได้ ก็ขอให้มีเงื่อนไขซื้อชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ หรือถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ด้วยว่า นายสุทินเป็นรัฐมนตรีกลาโหม มีอำนาจสั่งการ แต่กลับขอกองทัพ จึงทำให้รู้สึกสิ้นหวัง และยืนยันได้ว่า หากนายสุทินเป็นรัฐมนตรีอยู่ จะทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ มีแต่ความมืดมน
นายวิโรจน์ กล่าวถึงการลดจำนวนนายพล ที่รัฐบาลหลอกประชาชนว่าในปี 2570 จะลดจำนวนนายพลลงร้อยละ 50 ซึ่งเป็นนายพลที่ไม่มีหน้าที่ชัดเจน ซึ่งจำนวนนายพลที่ไม่มีความจำเป็นควรเป็นศูนย์ นายสุทินไม่จำเป็นต้องดำเนินการใด ๆ เพราะจำนวนนายพลจะลดลงอยู่แล้ว เพราะโรงเรียนเตรียมทหารรับจำนวนนักเรียนลดลง 150 คน ตั้งแต่รุ่นผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดปัจจุบัน จึงถือเป็นการตบตาประชาชน ฉกฉวยโอกาสการลดรับจำนวนนักเรียนเตรียมทหารน้อยลงมาอ้างผลงาน เช่นเดียวกับโครงการเออรี่ รีไทร์ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และงบประมาณบุคลากรของกองทัพไม่ได้ลดลง
ส่วนที่ดินราชพัสดุ 12 ล้านไร่ของกองทัพ นายวิโรจน์ กล่าวว่า กองทัพบกครอบครองถึง 4,500,000 ไร่ กองทัพอากาศ กองทัพเรือ รวมกัน 1,750,000 ไร่ รวมถึงยังมีที่ดินรกร้าง ทั้งที่เกษตรกรยังขาดแคลนที่ดินทำกิน แต่ที่ดินกองทัพบางส่วนถูกนำไปใช้ทำสวัสดิการธุรกิจ ทั้งสนามกอล์ฟ สถานพักตากอากาศ และสนามมวย ขาดความโปร่งใส ไม่ชี้แจงการจ่ายค่าเช่าให้กับกรมธนารักษ์ และทำบัญชีถูกต้องหรือไม่ ที่ผ่านมารายงานกำไรเพียงเล็กน้อยทุกเหล่าทัพเพียง 70 ล้านบาทเท่านั้น รัฐบาลควรนำที่ดินที่เกินจำเป็นของกองทัพคืนแก่รัฐบาล เพื่อนำไปแบ่งสรรให้ท้องถิ่น สร้างสาธารณูปโภคที่จำเป็น เพื่อให้เกิดความเจริญและเศรษฐกิจชุมชน
“การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของเหล่าทัพ เหตุใดไม่ซื้ออาวุธ กับผู้ประกอบการในประเทศที่มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง มีอะไหล่สำรอง และมีวิศวกรซ่อมแซม แต่กลับจัดซื้อกับโบรกเกอร์ที่อ้างเป็น SMEs และใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ล็อบบี้ เคลียร์เงินทอน ยกเว้นภาษี และนำอาวุธจากต่างประเทศ มาขายให้กับกองทัพ เมื่อชำรุดก็ต้องรออะไหล่นาน หรือปิดบริษัททิ้ง” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายใหม่ ๆ บริหารกองทัพ แต่เป็นนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จึงขอถามนายสุทินกล้ามองหน้ากองทัพเรือที่ยึดหลัก และรายละเอียด เพื่อให้เกิดการอุตสาหกรรมการต่อเรือในประเทศไทยหรือไม่ และขอให้นายสุทินหยุดเล่นละครการพัฒนาร่วมกัน เพราะละครเช่นนี้ไม่สามารถหวังคะแนนเลือกตั้งได้อีกแล้ว เพราะประชาชนกินข้าว ไม่ได้กินช็อกมินต์.-316.-สำนักข่าวไทย