รัฐสภา 7 ก.พ.- “เบญจา” ชี้ สัมปทานไฟทัพเรือสัตหีบค่าไฟแพง ติด ๆ ดับ ๆ ทำเครื่องใช้ไฟฟ้าปชช.พัง ขณะทหารเรือแจงไม่ชัดเจน หารือต่อรอบหน้า เข้าใจถ้าจะสำรองไว้ใช้ในหน่วย แต่จำเป็นต้องเป็นคนจำหน่ายหรือไม่
น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจต่าง ๆ ของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ครั้งที่ 2). ซึ่งมีวาระสำคัญ 2 เรื่อง คือการพิจารณาเรื่องการให้บริการกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และการพิจารณากรอบแนวทางการดำเนินงานของ กมธ. ซึ่งจากมติการประชุมครั้งก่อน อนุญาตให้ถ่ายทอดสดได้เป็นครั้งคราว เมื่อเริ่มการประชุม กมธ.สัดส่วนพรรคก้าวไกล จึงเสนอให้ถ่ายทอดสด เพราะทั้งสองวาระเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ โดยเฉพาะประเด็นกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก ต้องจ่ายค่าไฟแพง การขอมิเตอร์ไฟฟ้าถาวรเป็นไปได้ยาก ส่วนใหญ่ใช้มิเตอร์ชั่วคราว แต่ประธาน กมธ.ระบุถึงข้อกังวลเรื่องความมั่นคงทางพลังงานของกองทัพ และยืนยันไม่ให้ถ่ายทอดสด
“ส่วนการถ่ายโอนกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ไปอยู่ในการดูแลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นั้น จากการประชุมทำให้ได้ทราบข้อมูลที่ไม่เคยทราบมาก่อน ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ขายไฟให้กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือฯ แล้วกิจการฯ ก็ขายไฟต่อให้ประชาชนในราคาที่สูงกว่าจากปกติกว่า 4 บาทต่อหน่วย มิเตอร์ถาวรของกิจการฯ ขายประมาณกว่า 6 บาทต่อหน่วย ส่วนมิเตอร์ไฟชั่วคราว สูงไปถึง 8-10 บาทต่อหน่วย นอกจากค่าไฟแพง คุณภาพการให้บริการยังมีปัญหา ไฟตก ไฟติด ๆ ดับ ๆ ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าของประชาชนเสียหาย จากแฟนเพจเฟซบุ๊กของกิจการฯ จะเห็นประชาชนเข้ามาตำหนิต่อว่าอยู่เสมอ นี่จึงเป็นปัจจัยสำคัญนำมาสู่การพิจารณาศึกษา ว่าจะถ่ายโอนธุรกิจนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กฟภ. เข้ามาดูแลได้อย่างไรบ้าง” น.ส.เบญจา กล่าว
สำหรับกรณีอัตราค่าไฟที่กิจการฯ ขายให้ประชาชนแพงกว่าปกติ น.ส.เบญจา กล่าวว่า กองทัพชี้แจงเรื่องนี้ไม่ชัดเจน บอกเพียงว่าอัตราค่าไฟเท่ากับ กฟภ. แต่เรามีบิลค่าไฟจากพี่น้องประชาชนมาใช้ยืนยันว่า ค่าไฟแตกต่างกัน แม้กองทัพบอกว่านั่นคือมิเตอร์ชั่วคราว เราก็ยืนยันกลับไป ว่าต่อให้เป็นมิเตอร์ถาวร ถ้าดูจากบิลค่าไฟจะเห็นชัดเจน ว่ามีความแตกต่างอยู่ประมาณ 2 บาทต่อหน่วย เช่น ประชาชนที่อยู่โดยรอบพื้นที่ของกองทัพ ใช้จำนวนหน่วยไฟฟ้าเท่ากัน จ่ายประมาณ 2,000 บาท แต่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่กิจการฯ ต้องจ่ายประมาณ 6,000 บาท เมื่อรวมกับภาษีอื่นๆ เท่ากับจ่ายค่าไฟสูงกว่าความเป็นจริงเกือบสามเท่าตัว
“เราไม่ติดใจเลย ถ้ากองทัพสำรองไฟไว้ใช้แค่ในกิจการภายใน และอยู่ในพื้นที่ความมั่นคง ซึ่งควรแบ่งให้ชัดเจน เช่น พื้นที่ที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ พื้นที่การรบ แต่พื้นที่ที่อยู่นอกเหนือ เช่น เป็นรีสอร์ท เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ กองทัพเรือยังมีความจำเป็นต้องเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าหรือไม่” น.ส.เบญจา กล่าว
น.ส.เบญจา กล่าวว่า สัปดาห์ต่อไปกมธ.จะศึกษาโมเดลการโอนถ่ายกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ของ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ที่เคยโอนถ่ายเมื่อปี 2537 ให้ กฟภ. ดูแล โดยปัจจุบันพื้นที่ อ.บ้านฉาง คล้ายพื้นที่ อ.สัตหีบ คือกลายเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ มีอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ในการประชุม กองทัพเรือชี้แจงว่า ยังติดใบอนุญาตที่ได้รับจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้จำหน่ายไฟได้อีกประมาณ 25 ปี เรื่องนี้จึงต้องหารือกับกระทรวงมหาดไทย ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะสนับสนุนงบประมาณ เพื่อนำไปชำระค่าสัมปทานที่กองทัพเรือชำระให้กกพ. หรือที่กองทัพเรือได้ลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าไปแล้ว เพื่อส่งมอบหรือโอนธุรกิจนี้ให้ กฟภ. ดูแล ซึ่งทาง กฟภ. มีความพร้อมอย่างยิ่ง ดังนั้น ถ้านำโมเดลของ อ.บ้านฉาง ปรับใช้กับ อ.สัตหีบ ก็สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนกรณีที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า กองทัพยอมรับความเปลี่ยนแปลง โรงไฟฟ้าที่สัตหีบ กองทัพคืนได้ แต่จะกันเอาไว้เฉพาะส่วนที่ใช้ในกองทัพเท่านั้น น.ส.เบญจา กล่าวว่า ยังไม่แน่ใจ ว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เพราะในที่ประชุม ตัวแทนจากกองทัพไม่ได้พูดเหมือนนายสุทิน ทั้งยังยืนยันว่า พื้นที่กิจการฯ ดังกล่าวเป็นพื้นที่ความมั่นคง
น.ส.เบญจา กล่าวถึงการพิจารณากรอบแนวทางการดำเนินงานของ กมธ. ต่อเนื่องจากการประชุมครั้งที่แล้ว ที่ต้องการหารือเกี่ยวกับขอบเขตการทำงานของ กมธ. ชุดนี้ แต่ประธาน กมธ. ยังไม่มีความชัดเจน ขอเลื่อนเป็นวาระการประชุมครั้งหน้า ว่า กมธ.สัดส่วนพรรคก้าวไกล รวมถึงคนอื่นๆ เห็นว่า ไม่มีความจำเป็น เพราะเรื่องนี้ใช้เวลาไม่นาน ในขณะที่ธุรกิจกองทัพมีจำนวนมาก การทำงานจึงต้องวางกรอบให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพื่อในการตั้งคณะอนุกรรมาธิการ จะสามารถลงรายละเอียดแต่ละประเด็นได้ เช่น อนุคณะกรรมาธิการศึกษาธุรกิจพลังงาน อนุฯ ศึกษาธุรกิจคลื่นวิทยุ ซึ่งจะทำให้รู้ว่ามีธุรกิจอะไรบ้างของกองทัพ ที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ หรือที่เป็นสวัสดิการภายใน หรือที่เป็นสวัสดิการที่ต้องส่งเงินคืนคลัง เมื่อเห็นภาพชัด กมธ.จะทำงานได้ครบ และรอบด้านภายในกรอบ 90 วัน.-317.-สำนักข่าวไทย