“แพทองธาร” มุ่งเดินหน้าสร้าง Soft Power ยกระดับชีวิตคนไทย

กรุงเทพฯ 15 พ.ย. – “แพทองธาร” มุ่งมั่นเดินหน้าสร้าง Soft Power ยกระดับชีวิตคนไทย ผลักดันการพัฒนาศักยภาพ คน-อุตสาหกรรม-นโยบายต่างประเทศเชิงรุก ส่งออกวัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลก


น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวในการบรรยายพิเศษ ‘Soft Power The Great Challenger’ ในการสัมมนา ‘THAILAND 2024 : beyond RED OCEAN เส้นทางใหม่ เป้าหมายใหม่ ที่มั่นคง’ จัดขึ้นโดย ประชาชาติธุรกิจและประชาชาติธุรกิจออนไลน์ โดยมีนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ รวมถึงนักธุรกิจและภาคเอกชนชั้นนำ และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมรับฟัง

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา คำว่า ‘Soft Power’ คือหนึ่งในคำที่สังคมไทยให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งคำนิยามและรูปแบบ ซึ่งวันนี้คนเข้าใจในภาพรวมว่าไม่ใช่สินค้า แต่เป็นการพยายามสร้างสินค้าที่มีอยู่แล้วให้เป็นพลัง ‘Soft Power’ โดย ‘Soft Power’ คือ อำนาจในการทำให้ประเทศหนึ่งหรือสังคมหนึ่งพร้อมโอบรับวัฒนธรรมอื่นๆ ให้เข้ามา โดยที่ไม่ได้มีการบังคับ ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ ‘Apple’ ซึ่งเราสมัครใจซื้อไอโฟนที่ออกมาทุกรุ่น โดยไม่มีการบีบบังคับ หรืออย่างเครื่องสำอาง ลิปสติก มีแบรนด์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่เนื้อสัมผัสและสีก็ใกล้เคียงกัน แต่เราก็จะเลือกซื้อยี่ห้อที่ใช้อยู่ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของความไว้ใจในแบรนด์ คุณค่าในแบรนด์ที่ตรงกับเรา แบรนด์รอยัลตี้จึงเกิดขึ้น และเป็นธรรมดาที่แบรนด์เหล่านี้จะสร้างกลยุทธ์ นวัตกรรม สตอรี่ เพื่อให้เราเข้าถึงและโอบรับสิ่งต่างๆ ที่แบรนด์เสนอ นี่ก็คือ Soft Power ที่มาในแบบของแบรนด์


น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวว่า ถ้าพูดถึงประเทศต่างๆ ที่เรานึกถึง หากเป็นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เราจะพูดในเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งประเทศญี่ปุ่นจะได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก แต่ในช่วง 10 ปีหลังมานี้ มีทั้งเกาหลีและจีน เข้ามาอยู่ในใจเรามากขึ้น เพราะตลอดเวลา 10 กว่าปีมานี้ ทั้งเกาหลีและจีน ได้โปรโมตสิ่งต่างๆ ในรูปแบบวัฒนธรรมผ่านทางภาพยนตร์ สถานที่ท่องเที่ยว ในโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้เราได้เห็นและโอบรับวัฒนธรรมนั้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้สินค้าของเขามาอยู่ในใจเรา หรืออย่างเรื่องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ อาทิ หนังอินเดีย หากคิดถึงภาพจำเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว คนจะนึกถึงการร้องเพลง การเต้น บางอย่างเข้าไม่ถึง แต่ขณะนี้อินเดียมี Bollywood ที่พัฒนาไปไกลมาก ตัวเลขล่าสุด 1 ใน 3 ของภาพยนตร์ที่เข้าฉายในออสเตรเลียคือหนังอินเดีย ซึ่งเราจะเห็นได้เลยว่ามีการปรับเปลี่ยนอย่างมาก และรัฐบาลของอินเดียก็ลงทุนอย่างมากเพื่อจัด Festival ภาพยนตร์ในออสเตรเลีย ให้หนังอินเดียได้ฉาย และทั่วโลกได้เห็นหนังอินเดียสนุกจริงและเข้าถึงได้มากขึ้น หนังอินเดียจึงเป็นหนังเรื่องโปรดสำหรับหลายคนทั่วโลก

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า จากที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด จึงชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ว่างของ Soft Power ยังมีอยู่เสมอ สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ แค่เราเริ่มแล้วต้องไม่หยุด โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลคือ เราจะทำอย่างไรให้ต้นทุนวัฒนธรรมที่เรามี สร้าง Soft Power ที่นำมาซึ่งเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และโอกาสให้ประชาชนได้อย่างไร การจะสร้าง Soft Power จะต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก ซึ่งตามทฤษฎีของโจเซฟ ไนย์ ที่ได้พูดไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว คือ 1. เราต้องมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดี และต้องมี Creative, Innovation และ Story 2. คุณค่าทางการเมือง เป็นสิ่งจำเป็นมากๆ กฎหมายบางฉบับใช้มาแล้ว 20-30 ปี ไม่สามารถเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อปลดล็อกเสรีภาพในการสร้างสรรค์งาน 3. นโยบายต่างประเทศ จะช่วยส่งออกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ไปในต่างประเทศ

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า หากมองย้อนกลับไป เมื่อ 20 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยรักไทยเคยสร้างนโยบายที่สร้างให้ต้นทุนทางวัฒนธรรมของเราสามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ เช่น นโยบาย OTOP ที่สนับสนุนการเติบโตของสินค้าที่มาจากวัฒนธรรม รวบรวมทำแบรนดิ้งของสินค้าทั่วประเทศ แล้วโปรโมตออกไปในต่างประเทศ ให้คนไทยเกิดความภาคภูมิใจที่สินค้าของเขาได้ประจักษ์ในสายตาชาวโลก ซึ่ง TCDC หรือ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ที่มีตัวอย่างวัตถุดิบต่างๆ ให้ผู้ออกแบบได้เห็นได้สัมผัส เพื่อปลดล็อกศักยภาพในการสร้างสรรค์ รวมถึงยังมีห้องแล็บสำหรับทดลองการออกแบบ หรือ ‘กรุงเทพเมืองแฟชั่น’ ที่จุดพลุใหญ่ให้วงการแฟชั่นไทย ให้ทั่วโลกหันมาสนใจ หรือโครงการใหญ่อย่าง ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ ที่สร้างเชฟอาหารไทยส่งออกไปทั่วโลก ส่งผลให้เกิดร้านอาหารไทยเพิ่มขึ้นมากมายในต่างประเทศ ทุกนโยบายที่กล่าวมา จะเป็นการพัฒนาต้นทุนทางวัฒนธรรม แต่เราได้เรียนรู้จากนโยบายที่เคยทำไว้ คือ การจะสร้าง Soft Power จะต้องทำทั้งระบบ สร้างกลไกพัฒนายุทธศาสตร์ Soft Power พัฒนาทั้งอุตสาหกรรมและตัวคน ส่วนแรก คือ การพัฒนาอุตสาหกรรม เราจะตั้งหน่วยงานที่มีชื่อว่า Thacca – Thailand Creative Content Agency ซึ่งจะเป็นกลไกสะท้อนเสียงจากภาคเอกชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบาย จะประกอบไปด้วยคณะอนุกรรมการทั้งหมด 12 คณะ ประกอบด้วย 1.แฟชั่น 2.หนังสือ 3.ภาพยนตร์ 4.ละครและซีรีส์ 5.เฟสติวัล 6.อาหาร 7.ออกแบบ 8.ท่องเที่ยว 9.เกม 10.ดนตรี 11.ศิลปะ 12.กีฬา


ในแต่ละอนุกรรมการจะขับเคลื่อนด้วยคนในอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่อยู่กับงาน รู้ปัญหาจริง และมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมของตัวเองไปสู่เป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมหนังสือ ที่เราตั้งเป้าว่า หนังสือไทยจะได้ถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศ โดยจะเริ่มที่งานมหกรรมหนังสือนานาชาติไทเป เดือนมีนาคมปีหน้า หรือวงการแฟชั่นก็จะมีการวางแผน การให้ความสำคัญกับ Net Zero การทำอุตสาหกรรมที่ไม่ทำร้ายโลก เป็นค่านิยมที่ได้รับการพูดถึงในต่างประเทศ อีกทั้งทุกวงการที่จะมีการสร้างสรรค์ที่แตกต่างกันออกไป

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ส่วนที่ 2 คือ การพัฒนาคนที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรม ด้วยนโยบาย “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ – One Family One Soft Power หรือ OFOS” เรามีเป้าหมายสำคัญคือ การยกระดับรายได้ทุกครอบครัวให้ถึง 200,000 บาทต่อปี ด้วยการพัฒนาศักยภาพอย่างน้อย 1 คน ในแต่ละครอบครัว อาจมีรายได้สูงถึง 16,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะพาทั้งครอบครัวหลุดพ้นจากเส้นความยากจนได้ทันที โดยการยกระดับครั้งนี้จะใช้กลไกของกองทุนหมู่บ้านเป็นช่องทางให้พี่น้องประชาชนทุกครอบครัวลงทะเบียน ตามความถนัดแต่ละด้าน อย่างเช่นในวงอาหาร ที่จะสามารถผลักดันไปสู่โลกได้ โดยได้มีการทำโครงการ ‘หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย’ ตั้งเป้าว่าจะมีการอบรมถึง 70,000 คน โดยจะสร้างเชฟที่ได้มาตรฐานผ่านการควบคุมจากเชฟมืออาชีพ ในเรื่องของการกีฬา เรากำลังเริ่มวางแผนการยกระดับมวยไทย ให้มีหลักสูตรที่ชัดเจนได้มาตรฐานเกิดขึ้น ขณะนี้ในต่างประเทศมีค่ายมวยไทยมากกว่า 40,000 แห่งทั่วโลก ให้จัดให้มีหลักสูตรที่ชัดเจนและพร้อมที่จะไปอยู่ในแต่ละประเทศมากขึ้น ส่วนที่ 3 ที่สำคัญมากๆ คือจะต้องมีนโยบายต่างประเทศเชิงรุก ซึ่งขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นหน่วยงานสำคัญที่รับผิดชอบร่วมกับภาคเอกชน

“การสร้าง Soft Power ไม่ใช่เรื่องที่มีหลักสูตรที่ชัดเจน ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำทางลัดได้ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเร่งกระบวนการทุกอย่างได้ แต่วันนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เริ่มแล้ว ภาคเอกชนก็เริ่มแล้ว ต่างประเทศก็พร้อมที่จะเปิดรับวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก จึงอยากบอกว่า เราจะวางยุทธศาสตร์สร้าง Soft Power ให้ประเทศไทยกลับมามีตัวตนอีกครั้ง พร้อมที่จะยกระดับชีวิตพี่น้องประชาชนสู่สายตาชาวโลกอีกครั้ง” น.ส.แพทองธาร กล่าว. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]