เหตุกฎหมายบิดเบี้ยวทำ ก้าวไกล ยกประธานสภาฯ ให้เพื่อไทยไม่ได้

กรุงเทพฯ 25 พ.ค.-นักวิชาการ ระบุตำแหน่งประธานสภาฯ กับการเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญกว่าครั้งอื่น เหตุความบิดเบี้ยวของรัฐธรรมนูญที่ให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ชี้ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติยังต่อรองกันได้ แต่รอบนี้ถ้าก้าวไกล ยกประธานสภาฯ ให้เพื่อไทย มีสิทธิชวดตำแหน่งนายกฯ ด้วย


ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความสำคัญของตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ จะถือเป็นผู้คุมเกมในสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้กำหนดวาระของกระบวนการนิติบัญญัติ ซึ่งพรรคก้าวไกลมีวาระสำคัญหลายเรื่องที่ใช้เป็นจุดแข็งหาเสียงไว้ รวมถึงจุดแข็งการตั้งพรรค เช่น กฎหมายสมรสเท่าเทียม การแก้ไข กฎหมายมาตรา 112 หรือกฎหมายการผูกขาดสุราก้าวหน้า เป็นต้น หากตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นของพรรคอื่น การคุมเกมในสภาฯ จะทำได้ยาก จึงเป็นสาเหตุที่ตำแหน่งประธานสภามีความสำคัญกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการช่วงชิงตำแหน่งนี้ แต่ประเด็นที่มีความสำคัญมากกว่าคือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งพรรคทั้งหลายยืนยันหลักการว่าพรรคที่ได้เสียงข้างมากที่สุดในสภาฯ จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ นายพิธาอาจจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากวุฒิสภา (ส.ว.) ดังนั้น พรรคก้าวไกลในฐานะที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด หากยกตำแหน่งประธานสภาฯ ให้พรรคเพื่อไทยตอนนี้ อาจจะทำให้เสียทั้ง 2 ตำแหน่งก็ได้ จึงทำให้ไม่สามารถต่อรองกันได้


“หากให้ประเมินพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมีคะแนนห่างกันแค่ 10 ที่นั่ง ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับตำแหน่งประธานสภาฯ อาจจะแบ่งกันได้ แต่เรากำลังอยู่ในกลไกของการเมืองที่บิดเบี้ยวจากรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ส.ว. ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และอีกประเด็นคือนายพิธาอาจถูกตัดสิทธิ์เรื่องคุณสมบัติกรณีถือหุ้นสื่อดังนั้น การต่อรองทำได้ยาก ถ้าในสถานการณ์ปกติ พรรคเพื่อไทย อาจจะหาหรือว่าพรรคก้าวไกลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นของพรรคเพื่อไทย แต่ในจุดที่ มีความบิดเบี้ยวเกิดขึ้น ถ้าพรรคก้าวไกลยกตำแหน่งประธานสภาฯให้พรรคเพื่อไทย ก็อาจจะทำให้ เสียตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานสภาฯ ก็ได้” ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าว

เมื่อถามว่าคะแนนที่ต้องเกาะเกี่ยวกันเพื่อจับมือเป็นรัฐบาล จะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพรรคในการตั้งรัฐบาลหรือไม่ ศ.ดร. สิริพรรณ กล่าวว่า ตอนนี้มีปัญหาแน่ ๆ ถ้าในมุมของพรรคเพื่อไทยที่มองได้ว่าเมื่อคะแนนห่างกันเพียง 10 ที่นั่ง เขาจะต้องยอมยกทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและตำแหน่งประธานสภาฯ ให้พรรคก้าวไกล ก็อาจจะรู้สึกว่าให้มากเกินไป เพราะการสัญญากันตั้งแต่ต้น คือพรรคอันดับ1 มีสิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นตำแหน่งที่พูดคุยต่อรองกันได้ หากมองทั้งสองมุมก็จะเห็นว่ามีความยากลำบากที่การจัดสรรตำแหน่งไม่ลงตัว โดยประเด็นหลักอยู่ที่ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยบอกว่าหากไม่ให้ตำแหน่งประธานสภาฯ จะถอนตัว พรรคก้าวไกลก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคเพื่อไทยได้ ซึ่งในแง่นี้พรรคเพื่อไทยจะมีอำนาจต่อรองมากกว่า เพราะพรรคเพื่อไทยจะไปร่วมกับพรรคอื่นได้โดยไม่จำเป็นต้องไปร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ตามที่ประกาศไว้

ส่วนทางออกจะไปในทิศทางใด ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า ทางออกได้ยากมาก เพราะเห็นถึงความจำเป็นของทั้งสองพรรคที่อยากจะได้ตำแหน่งประธานสภา ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลมาจากการออกแบบรัฐธรรมนูญที่บิดเบี้ยว ที่ทำให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคอันดับหนึ่งมีความไม่แน่นอน เลยทำให้ต้องต่อรอง พอรัฐธรรมนูญออกแบบมาแบบนี้ทำให้การต่อรองเป็นเรื่องเหมือนน่ารังเกียจ แต่ก็อยากให้มองเป็นเรื่องปกติในระบอบรัฐสภา ไม่อยากให้มองเป็นเรื่องการช่วงชิงอำนาจ แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็เลยยาก


ศ.ดร. สิริพรรณ กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยไม่ประนีประนอม แล้วส่งคนท้าชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร อาจทำให้ได้คะแนนเสียงชนะพรรคก้าวไกล เพราะพรรคก้าวไกลจะมีคะแนน 152 เสียง รวมกับพรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย ส่วนพรรคอื่นที่เหลือก็มีสิทธิ์ที่จะโหวตให้ผู้ท้าชิงจากพรรคเพื่อไทย ถ้ามีการเสนอแข่ง ก็จะทำให้พรรคเพื่อไทยตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งเป็นตำแหน่งแรกไปก่อน อีกทั้งยังเป็นการโหวตลับ และหากเป็นแบบนั้นพรรคเพื่อไทยจะถูกมองว่าหักหลังพรรคก้าวไกล แต่ถ้ามองอีกแบบหนึ่งเป็นการต่อสู้กันในระบอบรัฐสภาปกติ เพราะไม่ได้มีคำสัญญาว่าจะโหวตให้กับประธานสภาฯ ของพรรคก้าวไกล ทางออกคงต้องเจรจากัน ถ้าพรรคก้าวไกลจะขอตำแหน่งนี้ไว้ต้องแลกกับอะไรบ้าง ต้องเป็นการพูดคุยกันนอกรอบ ไม่ใช่ออกมาปะทะกันผ่านสื่อเพราะจะทำให้กองเชียร์ของแต่ละฝั่งโจมตีกันมากขึ้น ไม่เป็นผลดีกับทั้งสองพรรค

เมื่อถามว่า ถ้าตกลงกันไม่ได้พรรคก้าวไกลจะเดียวดายในสภาหรือไม่ ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ ตำแหน่งประธานรัฐสภาเป็นตำแหน่งคุมเกมฝ่ายนิติบัญญัติ มีความหมายมากกว่าการเป็นประธานในที่ประชุม พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ใช้กระบวนการนิติบัญญัติในสภาฯ แสดงจุดยืนทางการเมือง และสร้างความผูกพันกับประชาชนค่อนข้างมาก ผ่านการเสนอนโยบายสมรสเท่าเทียม การยุติการเกณท์ทหาร รวมถึงประเด็นการแก้ไขม.112

“การคุมเกมในสภาผู้แทนราษฎรโดยประธานรัฐสภาจึงมีความสำคัญกับพรรคก้าวไกล แต่ต้องไม่ลืมว่าอำนาจต่อรองระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ใกล้เคียงกันมาก เพราะกันแค่ 10 คะแนน และถ้ารวมกับพันธมิตรของพรรคเพื่อไทยก็มีเท่า ๆ กับพรรคก้าวไกล การต่อรองตำแหน่งประธานสภาฯ จึงมีความสำคัญกับทั้ง 2 พรรค ก็อยากให้คุยกัน ขณะที่สื่อและแฟนคลับของทั้ง 2 พรรคต้องใจเย็น ปล่อยให้เป็น กระบวนการต่อรองโดยคะแนนเสียงในสภาฯ เพราะไม่อย่างนั้นถ้าพรรคใดพรรคหนึ่งถอนตัวไม่ร่วมรัฐบาล ก็จะกลายเป็นฝั่งของขั้วรัฐบาลปัจจุบันเข้ามาฉกฉวยเสี้ยมให้สองพรรคนี้แตกกันได้ง่าย” ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าว.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ทูน” แจ้งความถูกวัยรุ่นทำร้าย ขณะซื้อของย่านคลองถม

สน.พลับพลาไชย1 11 มิ.ย.- “ทูน หิรัญทรัพย์” อดีตนักแสดงรุ่นใหญ่ แจ้งความ สน.พลับพลาไชย 1 ถูกวัยรุ่นทำร้าย ขณะเดินซื้อของย่านคลองถม อีกฝ่ายอ้างป้องกันตัว นายทูน หิรัญทรัพย์ หรือ นายสพัชญ์นนทน์ อายุ 69 ปี อดีตดารานักแสดงรุ่นใหญ่ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 1 กรณีถูกวัยรุ่น 2 คน รุมทำร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บ ขณะไปเดินซื้อของในซอยข้างคลองถมพลาซ่า เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ที่ผ่านมา นายทูน เล่าเหตุการณ์ว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองและครอบครัวได้ไปเดินหาซื้อไฟในย่านคลองถม ระหว่างนั้นก็มีผู้คนมาทักทายเพราะเห็นว่าตัวเองเป็นดารา แต่มีวัยรุ่นคนหนึ่งพูดจาไม่น่าฟังบอกว่าดาราอะไรเคยไม่รู้จัก จึงตักเตือนในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ ว่า จะพูดจาอะไรก็ต้องให้เกียรติคนอื่นโดยเฉพาะคนที่อาวุโสกว่า จนเกิดมีปากเสียงกัน จากนั้นวัยรุ่นดังกล่าวก็ชกเข้าที่เบ้าตาขวา ซึ่งเป็นตาข้างที่บอดอยู่ จึงไม่เห็นหมัด ก่อนจะมีตำรวจเข้ามาระงับเหตุ แต่วัยรุ่นคู่กรณีก็ยังทำท่าไม่พอใจฮึดฮัดใส่อยู่ ก่อนจะถูกควบคุมตัวไปที่ สน.พลับพลาไชย ซึ่งตัวเองก็ได้เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีด้วยเช่นกัน นายทูน กล่าวว่า ตลอดชีวิตที่เป็นนักแสดงนั้นเคยแต่เจอผู้คนเข้ามาทักทาย ขอถ่ายรูป ด้วยความมีมิตรไมตรี […]

พายุ “หวู่ติบ” ไม่เข้าไทย แต่เสริมมรสุม ฝนเพิ่ม คลื่นแรง เตือนระวังน้ำหลาก

กรุงเทพฯ 12 มิ.ย.-ไทยมีฝนตกเพิ่ม โดยพายุ​ “หวู่ติบ” จะส่งอิทธิพลให้ร่องมรสุมพาดผ่านและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น กรมอุตุฯ เตือนประชาชนเฝ้าระวังภัยน้ำหลากและคลื่นลมแรงอย่างใกล้ชิด นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ช่วงวันที่ 12–13 มิถุนายน 2568 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ ระนอง พังงา จันทบุรี และตราด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากร่องมรสุมที่พาดผ่านตอนบนของประเทศ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรง กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศแจ้ง​เตือน​ว่า พายุโซนร้อน “หวู่ติบ” บริเวณทะเลอันดามันตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเกาะไหหลำของจีนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 160 กิโลเมตร มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวทางตะวันตกเฉียงเหนือ คาดว่า​ จะขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้ในช่วงวันที่ 13-14 มิ.ย.68 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ แม้ศูนย์กลางพายุจะไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่พายุนี้เป็นอีกปัจจัยที่เสริมให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนตกหนัก คลื่นลมในทะเลอันดามันตอนบนสูง 2–3 เมตร และในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองอาจสูงมากกว่า 3 […]

ผลแล็บพบข้าวมันไก่ติดเชื้อ ทำครู-นร.ท้องเสีย 23 คน

ปราจีนบุรี 12 มิ.ย. – แม่ค้ามือเป็นแผล! ครู-นักเรียน กินข้าวมันไก่ ท้องเสียยกชั้น หามส่ง รพ. แพทย์ชี้ชัดผลแล็บ พบเชื้อสตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ต้นเหตุทำอาหารเป็นพิษ จากกรณีที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมือง จ.ปราจีนบุรี ต้องระดมทั้งรถตู้โรงเรียน และรถฉุกเฉิน เร่งนำตัวนักเรียนและคุณครู ส่งโรงพยาบาล จำนวน 23 คน หลังทุกคนกินข้าวมันไก่ในช่วงพักกลางวัน พอตกบ่ายก็มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน บางรายเป็นไข้หนาวสั่น คาดสาเหตุมาจากอาหารเป็นพิษ ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งรักษาอาการที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร รวม 16 คน (นักเรียน 15 คน ครู 1 คน) เบื้องต้น แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วบางส่วนเหลือคุณครูที่ต้องดูอาการเนื่องจากมีอาการช็อก ส่วนนักเรียน ยังคงต้องดูอาการอีก 9 คน ซึ่งคาดว่าแพทย์น่าจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ภายในวันนี้ ส่วนที่ รพ.ค่ายจักรพงษ์ มีจำนวน 7 คน (เป็นนักเรียนทั้งหมด) เบื้องต้น […]

หลุดภาพ​ “ชาดา-สันติ-​นายกด๊อยซ์” สะพัดขน 6 สส. ​ซบ ​“ภท.”

กทม. 11​ มิ.ย. – “ชาดา-สันติ-นายกด๊อยซ์” ร่วมวงกินข้าว หลังสะพัดขน “6 สส.มะขามหวาน” เด็กลุงป้อม ย้ายซบ “ภูมิใจไทย” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ ภายหลัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.68 แต่งตั้ง นางจิตรา หมีทอง ซึ่งเป็นทีมงานนายสันติ พร้อมพัฒน์ แกนนำ 6 สส. เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ เป็นคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และ รมว.มหาดไทย ล่าสุดช่วงเย็น วันที่ 11 มิ.ย. ได้ปรากฏภาพนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้รับประทานอาหารเย็น ร่วมกับ นายสันติ และ นายอัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง […]

ข่าวแนะนำ

กัมพูชาสั่งแบนหนัง-ละครไทย

พนมเปญ 13 มิ.ย. – เว็บไวต์ขแมร์ไทม์ส ของกัมพูชารายงานว่า นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภา เรียกร้องให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชายกเลิกการออกอากาศละครไทย เลิกฉายหนังไทย และอาจจะยกเลิกการนำเข้าสินค้าจากไทยด้วยเพื่อรักษาอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศในยามที่เผชิญแรงกดดัน กระทรวงข่าวสารกัมพูชาได้ออกหนังสือถึงเจ้าของสถานีโทรทัศน์ทุกแห่งแจ้งให้ทราบว่าตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 12 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ทุกสถานีของกัมพูชาต้องงดออกอากาศภาพยนตร์ไทยทุกประเภทเพื่อความเหมาะสมของสถานการณ์และรักษาความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้กระทรวงศิลปะและวัฒนธรรมกัมพูชายังออกประกาศแจ้งเตือนให้ระงับการฉายและห้ามนำเข้าภาพยนตร์ไทยทุกประเภทในกัมพูชาตั้งแต่ 12 นาฬิกาวันนี้เป็นต้นไป.-816.-สำนักข่าวไทย

 อิสราเอลระบุเปิดฉากโจมตีอิหร่าน

เยรูซาเล็ม 13 มิ.ย. – กองกำลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีเป้าหมายด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน เพื่อขัดขวางมิให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ สื่อของอิหร่านและผู้เห็นเหตุการณ์รายงานว่า เกิดเหตุระเบิดหลายครั้งที่โรงงานเพิ่มสมรรถนะแร่ยูเรเนียม อิสราเอลเรียกปฏิบัติการโจมตีนี้ว่า “สิงห์ผงาด” (Rising Lion) โดยระบุว่าการโจมตียังพุ่งเป้าไปที่บรรดาผู้บัญชาการของอิหร่านและโรงงานผลิตขีปนาวุธ พร้อมกันนั้น อิสราเอลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อเตรียมรับมือกับการโจมตีตอบโต้ด้วยขีปนาวุธและโดรนจากเตหะราน นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ได้กล่าวผ่านข้อความวิดีโอที่บันทึกไว้ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ชี้ขาดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล นายเนทันยาฮูเขากล่าวด้วยว่า อิสราเอลเล็งเป้าโจมตีไปที่นักวิทยาศาสตร์ที่กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โครงการขีปนาวุธนำวิถี และโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่เมืองนาทานซ์ (Natanz) ในปฏิบัติการที่จะดำเนินต่อไปอีกหลายวัน เจ้าหน้าที่กองทัพอิสราเอลกล่าวว่า อิสราเอลกำลังโจมตีเป้าหมายทางนิวเคลียร์และทางทหาร ‘หลายสิบแห่ง’ โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าอิหร่านมีวัสดุเพียงพอที่จะสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้ถึง 15 ลูกภายในไม่กี่วัน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า อิสราเอลได้ดำเนินการฝ่ายเดียวเนื่องจากเชื่อว่าปฏิบัติการดังกล่าวมีความจำเป็นสำหรับการป้องกันตนเอง พร้อมกับย้ำว่า สหรัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฎิบัติการครั้งนี้ของอิสราเอล ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นกว่า 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจากข่าวนี้.-813.-สำนักข่าวไทย

“ทนายวิญญัติ” รอศาลกำหนดแนวทางพิจารณา

ศาลฎีกาฯ 13 มิ.ย.-“ทักษิณ” ไม่มาศาลฎีกา​ “ทนายวิญญัติ” รอศาลกำหนดแนวทางพิจารณา นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี​ เดินทางมาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประมาณ 8.30 น. พร้อมทีมทนาย 4-5 คน โดยไม่ปรากฏนายทักษิณ เดินทางมาศาลแต่อย่างใด นายวิญญัติ เปิดเผยถึงกรณีศาลฯได้นัดไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้นายทักษิณ ได้รับการเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ วันนี้ว่า​ เป็นการนัดของศาลฎีกาฯ เพื่อจะดำเนินการกระบวนการไต่สวน​ ซึ่งต้องรอดู ตนในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจของนายทักษิณ​ มาทำหน้าที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นว่า กระบวนการพิจารณาคดีจากนี้ไป จะกำหนดหรือวางแนวทางอย่างไร ยังไม่สามารถตอบได้ ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ ขอให้สัมภาษณ​์หลังจากที่เสร็จกระบวนการก่อน เนื่องจากว่ายังไม่ทราบ ว่าจะมีกระบวนการอย่างไรบ้าง ทั้งนี้การเป็นทนายความมาพอจะคาดเดาได้ ส่วนในคดีนี้มีโอกาสที่นายทักษิณจะมาหรือไม่​ นายวิญญัติ​ กล่าวว่ายังตอบไม่ได้ และการพิจารณาวันนี้ไม่น่านาน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ ต้องดูว่า เราจะทำคำชี้แจงอย่างไร และหน่วยงานต่างๆ บุคคลที่ได้รับหมายได้ยื่นคำชี้แจงมาหรือไม่ ต้องมาดูว่ามีใครยื่นมาบ้าง หลังจากนั้นศาลจะให้โอกาสทุกฝ่าย ในการชี้แจง.-319​.-สำนักข่าวไทย

เครื่องบินตกอินเดีย

นายกฯ แสดงความเสียใจเครื่องบินตกที่อินเดีย

กทม. 13 มิ.ย.-นายกฯ แสดงความเสียใจโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่เมืองอาเมดาบัด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความเมื่อคืนที่ผ่านมา แสดงความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่เมืองอาเมดาบัด ในนามของประชาชนและรัฐบาลไทย ขอแสดงความเสียใจไปยังท่านนายกรัฐมนตรีโมที @NarendraModi และผู้ที่ประสบความสูญเสียจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ I am deeply saddened by the tragic plane crash in Ahmedabad earlier today. On behalf of the people and Government of Thailand, I extend our heartfelt condolences to PM @NarendraModi and all those who suffered loss in this tragedy.-314.-สำนักข่าวไทย