ร้องกกต.สอบนโยบายขายฝันพท.

สำนักงานกกต. 8 ธ.ค.-“สนธิญา” ร้องกกต.ตรวจสอบนโยบายเงินเดือน 2.5 หมื่น – ค่าแรง 600 บาท ถมทะเลของเพื่อ ไทย เข้าข่ายขายฝัน ทำลายระบบเศรษฐกิจ  สร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ ชี้ “อุ๊งอิ๊ง” ไม่สมควรเป็นนายกฯ


นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยื่นหนังสือต่อกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ขอให้ตรวจสอบนโยบายการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่แถลงเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา    โดยนายสนธิญา กล่าวว่า การมายื่นครั้งนี้มี 3 ประเด็น 1.การถมทะเลในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาครเพื่อกันน้ำทะเลหนุนท่วม นโยบายดังกล่าวตนได้ยินมาในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และตนก็คัดค้านมาโดยตลอด ซึ่งโครงการที่พรรคเพื่อไทยพูดเกี่ยวกับโครงการนี้ได้รับฟังความคิดเห็นหรือทำประชามติกับประชาชนในพื้นที่หรือไม่     ตนฟันธงว่าการถมทะเลไม่สามารถกระทำได้ เป็นนโยบายขายฝัน ที่ผ่านมาฝ่ายค้านด่ารัฐบาลว่ากู้เงิน แล้วโครงการถมทะเลใช้งบฯ กว่าแสนล้าน จะเอาเงินจากที่ไหน ก็คือต้องกู้

นายสนธิญา กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ถ้าทำได้ผมยินดีด้วย แต่ถ้าเรามองบริบทในประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็น เมียนมา ลาว กัมพูชา มีค่าแรงต่ำกว่าไทยทั้งสิ้น    ซึ่งตอนนี้ไทยมีค่าแรงอยู่ที่ 334 บาท ส่วนค่าแรงของประเทศคู่แข่งของไทยอย่างเวียดนามค่าแรงเพียง 234 บาท ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งในปี 2566 จะต้องปรับขึ้นค่าแรงปี 70 เป็น 600 บาท นั่นหมายถึงว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องปรับขึ้นค่าแรงในปี 2566 เป็น 440 บาท  และจะต้องเพิ่มขึ้นทุกปีจนถึงปี 2570 ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบการจ่ายค่าแรงคือบริษัทเอกชน


“เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยระบุ ว่าการขึ้นค่าแรงนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณ ถ้าพูดเช่นนี้ผมมองว่าไม่สมควรเป็นนายกฯ หรือแคนดิเดต เพราะการปรับขึ้นค่าแรง 600 บาทจะกระทบไปทุกวงจรของประเทศไทย และต้องใช้งบประมาณของรัฐบาล  ที่น.ส.แพทองธารพูด เป็นการพูดโดยไม่เข้าใจในบริบทของราชการ และต้องถามว่าเมื่อค่าแรงขึ้น ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย สิ่งที่ผมมองลึกไปกว่านั้น คือนโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องการสกัดกลุ่มบริษัทของประเทศซาอุดิอาระเบีย   ที่กำลังจะเข้ามาลงทุนกว่า 3 แสนล้านบาทในปี 2566 หรือเป็นการสกัดบางบริษัทที่จะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนโยบายนี้เป็นการทำลายระบบเศรษฐกิจอย่างชัดเจน” นายสนธิญากล่าว

นายสนธิญา กล่าวว่า ประเด็นที่ 3 การขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำสำหรับบุคคลที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี 25,000 บาท ต้องถามกลับไปว่าคนที่จบปริญญาตรีได้เงินเดือน 25,000 บาท ส่วนคนที่ทำงานมาแล้ว 3 ปี ได้เงินเดือนมาแล้ว 18,000 บาท จะเป็นธรรมกับเขาหรือไม่ และจะกระทบกับระบบราชการ ซึ่งการประกาศเป็นของกรมแรงงาน และเมื่อเป็นนโยบายของรัฐจะต้องปรับเงินเดือนให้กับราชการ บริษัทเอกชน จึงเป็นสาเหตุหลักที่มองว่าถ้าจะปรับฐานเงินเดือน จะต้องดูบริบทของประเทศและเศรษฐกิจ  เพราะนโยบายเหล่านี้ได้ประกาศแล้วจะกระทบเป็นลูกโซ่ ที่สำคัญการประกาศนโยบายต้องเป็นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง   มาตรา 57 (1) (2) (3) จึงมายื่นต่อ กกต.เพื่อให้พิจารณาให้เป็นตามกฎหมาย

เมื่อถามย้ำว่านโยบายค่าแรง 600 บาทและเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ขัดต่อกฎหมายอย่างไร นายสนธิญา กล่าวว่า ตามมาตรา 57 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดว่านโยบายที่ต้องใช้จ่ายเงิน การประกาศนโยบายต้องมี  1.วงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ 2.ความคุ้มค่าและประโยชน์การดำเนินการนโยบายนั้น ๆ  และ 3.ผลกระทบและความเสี่ยงการดำเนินการนโยบายนั้น ๆ


“วันนี้ประเทศไทยมีปัญหาบางเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งมาจากนโยบายแห่งรัฐ นโยบายของพรรคการเมือง ผมจึงไม่อยากเห็นการหาเสียงในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง นำนโยบายที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่สามารถทำตามที่แถลงต่อประชาชนได้ แต่มีจุดประสงค์ให้ประชาชนเลือก ผมไม่อยากเห็นนโยบายอย่างนั้น จึงขอให้ กกต.วินิจฉัย” นายสนธิญา กล่าว

เมื่อถามว่าการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวเป็นการตีตนไปก่อนไข้หรือไม่ นายสนธิญา กล่าวว่า ไม่ใช่การการตีตนไปก่อนไข้ แต่เป็นการทำให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันทุกพรรคการเมืองที่จะดำเนินนโยบายต่อไป เพื่อให้อยู่บนฐานความเป็นจริงและความเป็นไปได้ หลังจากนี้พรรคไหนก็ตามที่มีนโยบายลักษณะนี้และไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ กกต.ก็ต้องตรวจสอบ ยืนยันว่าจะยื่นตรวจสอบทุกพรรค ส่วนกรณีนโยบายเก่าของพรรคพลังประชารัฐที่เคยหาเสียงค่าแรง 425 บาทต้องเข้าใจว่าปี 2560-2562 ประเทศไทยเจอโควิด-19 ตอนนั้นโรงงานปิด คนตกงาน สถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐที่ทำไม่ได้ ขอให้ไปดูบริบท ว่า 3-4 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ในสถานะไหน    

เมื่อถามย้ำว่าจะยื่นให้กกต.ตรวจสอบกรณีนโยบายพรรคพลังประชารัฐหรือไม่  นายสนธิญา กล่าวว่า ไม่ยื่น เพราะตนอยู่ฝ่ายรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการยื่นเรื่องร้องเรียนดังกล่าวของนายสนธิญา นายวรัญชัย โชคชนะ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองมาแสดงความเห็นสนับสนุนนโยบายค่าแรง 600 บาทของพรรคเพื่อไทย โดยต่างฝ่ายต่างชี้แจงความคิดเห็นสนับสนุนในมุมมองของตนเองต่ออีกฝ่ายไปมาอย่างไม่มีข้อสรุป ก่อนจะแยกย้ายกันไปในที่สุด.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เขยโหดบุกยิงแม่ยาย-ญาติ ดับ 3 ก่อนจบชีวิตตัวเอง

ปทุมธานี 3 ก.ย. – เขยปืนโหด ถูกจับได้ว่าแอบคบกับน้องเมียวัย 13 ปี บุกยิงยกครัวเมียที่บ้านพัก ย่านปทุมธานี แม่ยาย-น้องเมีย-น้า เสียชีวิต ก่อนจบชีวิตตัวเองหนีความผิด เหตุดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.10 น. ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สภ.คลองห้า จ.ปทุมธานี ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมตรวจสอบบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ 7 ต.คลองเจ็ด อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จุดเกิดเหตุอยู่ด้านหลังบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่ง พบร่างนางทัศนี อายุ 46 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ด้านข้างโต๊ะกินข้าว ตามร่างกาย มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ศีรษะ ข้างกันพบปลอกกระสุนปืนขนาด.380 ตกอยู่จำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังพบร่างนายชัยวัฒน์ อายุ 43 ปี น้องชายนางทัศนีย์ ได้รับบาดเจ็บ ส่วนในบ้านพบ ด.ญ.วันเพ็ญ อายุ 13 ปี ลูกสาวนางทัศนีย์ ได้รับบาดเจ็บอีกราย เจ้าหน้าที่กู้ชีพและกู้ภัยฯ […]

พรรคร่วมฯ ใหม่ ตบเท้าร่วมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลกับ “ภูมิใจไทย”

รัฐสภา 3 ก.ย.-พรรคร่วมฯ ใหม่ ตบเท้าร่วมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลกับ “ภูมิใจไทย” ก๊วน “สุชาติ-ธรรมนัส-สันติ” ร่วมด้วย ด้านงูเห่า “เพื่อไทย-ปชป.” โผล่โชว์ตัว บรรยากาศการประชุมพรรคภูมิใจไทย ภายหลังพรรคประชาชนมีมติโหวตให้นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลต่างทยอยเดินทางมาเพื่อรอแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลในเวลา 11:00 น. โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น สส.รวมไทยสร้างชาติ นำกลุ่ม 18 สส. เดินทางมาเป็นกลุ่มแรก อย่างไรก็ตามไม่พบว่ามี สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ของกลุ่มนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินทางมาร่วมแต่อย่างใด ขณะที่ตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ นำโดย ชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตามมาด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่นำ สส.เพชรบูรณ์ มาร่วมด้วย จากนั้น พรรคกล้าธรรม นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม พร้อมแกนนำพรรค เช่น นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรค นายไผ่ […]

“ทักษิณ” รับผิดไว้ใจ “ธรรมนัส” มากเกินไป

กรุงเทพฯ 2 ก.ย.- “ทักษิณ” ยอมรับผิด ไว้วางใจ “ธรรมนัส” มากเกินไป ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล ต้องรอดูพรรคประชาชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 ก.ย. สส.พรรคเพื่อไทย ประมาณ 10 คน ได้นัดเลี้ยงสังสรรค์ให้นายฉลาด ขามช่วง ที่ได้รับเลือกให้เป็นดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เมื่อเรื่องรู้ถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ จึงเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับนายฉลาด ด้วย โดยในวงรับประทานอาหาร นายทักษิณ พูดถึงกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ถอนตัวจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยยอมรับผิดว่า “ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส มากเกินไป พี่ผิดไปแล้ว พี่ดูคนผิด” ทำให้ สส. ที่ร่วมวงอยู่นั้นสวนทันทีว่านายทักษิณ โดนคนหลอกตลอด ซึ่ง สส.ที่ร่วมวง ต่างเห็นตรงกันว่า ไม่เคยเห็นนายทักษิณ ยอมรับผิดแบบนี้มาก่อน เห็นได้ว่านายทักษิณ ได้แสดงท่าทีรู้สึกผิดมาก พร้อมกันนี้ สส. […]

เปิดชื่อ 20 สส.เพื่อไทย ส่งศาล รธน. ปมตุลาการหมดวาระ

พรรคเพื่อไทย 2 ก.ย.- เปิดชื่อ 20 สส.เพื่อไทย เข้าชื่อส่งศาล รธน. ปมตุลาการหมดวาระ แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 20 สส.เพื่อไทย นำโดย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล ได้ทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการพิจารณาวินิจฉัย เรื่องพิจารณาที่ 17/2568 กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 วินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 ซึ่งเป็นวันวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป แทน นายปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง ดังนั้น เมื่อได้รับทราบถึงการมีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายสราวุธ แทนนายปัญญา ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระแล้ว จึงไม่ควรที่จะให้ นายปัญญา […]

ข่าวแนะนำ

เพื่อไทย เสนอสูตรใหม่ โหวต “ชัยเกษม” แลกยุบสภาทันที

รัฐสภา 4 ก.ย.-เพื่อไทย เสนอสูตรใหม่ ชวน ปชน. โหวต “ชัยเกษม” แลกยุบสภาทันทีหลังแถลงนโยบาย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณถึงการบรรจุวาระโหวตนายกฯ ไว้ต่อที่ประชุมสภาฯ วันที่ 5 ก.ย. นี้ ว่า เข้าใจว่าอาจจะมีการเสนอให้เลื่อนระเบียบวาระขึ้นมาพิจารณา แต่พรรคเพื่อไทยจะขอให้พิจารณาไปตามระเบียบวาระและไม่ยอมให้เลื่อนวาระขึ้นมาพิจารณาก่อน อย่างไรก็ดีเชื่อว่าหากมีการลงมติจะมีเสียงสนับสนุนเพียงพอ นายวิสุทธิ์ กล่าวต่อว่าตนได้รับการประสานมาจากพรรคประชาชน ให้ขอให้พรรคเพื่อไทยยืนยันต่อการเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ต่อที่ประชุมสภาฯ ขณะเดียวกันนั้นได้เรียกร้องว่าหาก นายชัยเกษมได้เป็นนายกฯ หลังการแถลงนโยบายแล้วต้องประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ทันที “ตอนนี้มีข้อเสนอแบบนี้หหลังจากที่แถลงนโยบาย เราจะยุบสภาทันที หากพรรคประชาชนไม่อยากให้เกิดปัญหา กรณีที่ชาวบ้านไม่ยอมรับ ต้องทำตามนี้ ส่วนหนึ่งที่ต้องทำแบบนี้ เพื่อให้นายกฯ ของพรรคเพื่อไทยมีอำนาจยุบสภา หลังจากที่ขณะนี้มีปัญหา” นายวิสุทธิ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ห้องประชุมสภา คึกคัก “อนุทิน” เดินทักทายรอบห้อง

รัฐสภา 4 ก.ย.-ห้องประชุมสภาฯ คึกคัก “อนุทิน” เดินทักทายรอบห้อง ไม่เว้นโซน “เพื่อไทย” ขณะที่ สส.พรรคประชาชน บอกลำบากใจโหวต ให้ “เสี่ยหนู” แต่จำเป็นเพื่อผ่าทางตัน พร้อมฝากถึง “แพทองธาร” สารตั้งต้นปัญหา ควรรับผิดชอบมากกว่านี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาฯคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม โดยเปิดให้สมาชิกหารือปัญหาเดือดร้อน โดยบรรยากาศ เป็นไปด้วยความคึกคัก เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีการเลือกกันในวันที่ 5 ก.ย.นี้ เดินเข้าห้องประชุมเมื่อเวลา 09.20 น.ได้เดินทักทาย สส.พรรคภูมิใจไทย และมีการถ่ายภาพหมู่ในห้องประชุม จากนั้นได้เดินทักทายพูดคุยกับ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ และ สส.พรรคประชาชน ในที่นั่งของพรรครวมไทยสร้างชาติ และที่นั่งพรรคประชาชน ขณะที่มี สส.ส่วนหนึ่งก็เดินเข้ามาทักทาย จับมือ แสดงความยินดีล่วงหน้าที่นายอนุทิน จะได้รับการโหวตเป็นนายกฯ นอกจากนั้นนายอนุทิน ยังเดินไปทักทายพูดคุยกับ สส.พรรคเพื่อไทย เช่น […]

รฟท.ประสาน DSI เลื่อนแจ้งความเอาผิด “เขากระโดง”

ดีเอสไอ 3 ก.ย.-รฟท.ประสาน DSI เลื่อนแจ้งความเอาผิดเรื่องเขากระโดงไม่มีกำหนด ความคืบหน้าการสืบสวนเรื่องร้องเรียนการครอบครองและการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดงจังหวัดบุรีรัมย์ อันอาจเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งอธิบดีดีเอสไอมีคำสั่งสืบสวน และดีเอสไอได้ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานพบกลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่รฟท.เกี่ยวข้อง ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ติดต่อจะมอบให้ฝ่ายกฎหมายเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมมอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องวันนี้ เวลา 14.00น. ล่าสุดพ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย รฟท.ได้ประสานกลับมายังตน ขอเลื่อนการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ออกไปก่อน อย่างไม่มีกำหนด กรณีนี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอตรวจสอบพบ กลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่การรถไฟเข้าไปเกี่ยวข้อง และการรถไฟฯ เป็นผู้เสียหายจึงประสาน รฟท.ไปให้มาแจ้งความดำเนินคดีอาญากับกลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย และเจ้าหน้าที่รัฐอื่นในการเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณพื้นที่เขากระโดง ต.เสม็ด และ ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ หากรฟท.ไม่มาแจ้งร้องทุกข์ ก็เข้าข่ายละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ดีเอสไอจะทำหนังสือแจ้งรฟท.อีกครั้งให้มาแจ้งความร้องทุกข์ หากยังไม่มาอีก ก็จะประชุมพนักงานสอบสวน ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้บริหารการรถไฟฯ เรียกสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องฐานเป็นผู้สนับสนุนเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ติดป้ายให้ ‘ชาวกัมพูชา’ รื้อถอน-ย้ายออก พื้นที่บ้านหนองจาน

สระแก้ว 4 ก.ย.-ผู้ว่าฯ สระแก้ว สั่งติดป้ายให้ชาวกัมพูชา รื้อถอน-ย้ายออก พื้นที่บ้านหนองจาน ในส่วนของไทย หากฝ่าฝืนเอาผิด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง-ป่าไม้ โทษปรับ-จำคุก เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน จ.สระแก้ว ติดตั้งประกาศบังคับใช้กฎหมายชาวกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ในราชอาณาจักรไทย บริเวณบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยป้ายมี 3 ภาษา ไทย-กัมพูชา-อังกฤษ พร้อมแผนที่ ระบุว่า “ประกาศให้ชาวกัมพูชาที่บุกรุกถือครองที่ดินและอยู่อาศัยทำกินในราชอาณาจักรไทย เป็นการกระทำความผิดในราชอาณาจักรไทย ตามแผนที่แนบท้ายกรอบสีฟ้า หากเพิกเฉยไม่ดำเนินการจะดำเนินคดีและต้องรับโทษในราชอาณาจักรไทย หากเพิกเฉยไม่ดำเนินการจะดำเนินคดีและต้องรับโทษในราชอาณาจักรไทยตามกฎหมายดังนี้ 1.พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11 มาตรา 62 และมาตรา 81 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท 2.พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 และมาตรา 72 ตรี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 […]