กรุงเทพฯ 30 ก.ย. – หลายฝ่ายร่วม นำ“ประเทศไทยต้องรอด Save Thailand” ชวนคิดฝ่าวิกฤติ
สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จัดงานสัมมนาหัวข้อ “ประเทศไทยต้องรอด Save Thailand Restore.Reframe.Rise” ณ แกรนด์ เซนเตอร์พอยต์ ลุมพินี ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานกรรมการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้ขยายตัวมากนัก จีดีพีลดลงอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจ SME เผชิญสถานการณ์ที่แย่กว่าช่วงโควิด-19 จากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ลดต่ำจาก 3 ล้านล้านบาท ในไตรมาส 3/2563 มาที่ 2.8 ล้าน ในปี 2568
โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเปลี่ยน โดยสัดส่วนของการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมต่อ GDP ลดลง แต่สัดส่วนของภาคบริการเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นประเทศไทยควรต้องพึ่งพิงภาคบริการมากขึ้น และหาจุดแข็งใหม่ของภาคสินค้าอุตสาหกรรม เพราะเรากำลังพัฒนาประเทศไปสู่การให้บริการมากขึ้น หลายประเทศก็เป็นอย่างนี้หมด ยักษ์ใหญ่ที่สุดในสินค้าภาคอุตสาหกรรมคือ จีน ที่เร่งการผลิตผลิตสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูง แต่จีนยังปิดจุดอ่อนของตัวเองไม่ได้ใน อุตสาหกรรมอาหาร ต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
ประเทศไทยเราส่งออกอาหารไปจีน อยู่ในอันดับที่ 5 หรือ 6 ดังนั้น หากเราต้องการจะอยู่รอด ต้องปรับตัวไปสู่ภาคบริการ และภาคการผลิตอาหาร แปรรูปสินค้าเกษตร ภาครัฐต้องสร้างกฎระเบียบ และแก้กฎระเบียบบางอย่าง โดยเฉพาะการปลดล็อกการผูกขาด เพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การกำหนดราคาที่เหมาะสมเรื่องพลังงาน การพัฒนาโลจิสติกส์โดยการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาพัฒนาใช้รางรถไฟได้ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
พลิกวิธีคิดจากรัฐเดินนำ เป็น ‘เอกชนคิด ภาครัฐเอื้อ’
ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไทยยังเผชิญปัญหาและช่องโหว่หลายด้าน ทั้งจากแรงกดดันต่างประเทศ เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการภาษีศุลกากร รวมถึงการแข่งขันด้านการผลิต ขณะเดียวกันปัจจัยภายในประเทศอย่างปัญหาสังคมผู้สูงอายุ หนี้ครัวเรือนสูง และข้อจำกัดด้านนโยบาย ล้วนเป็นแรงกดดันที่อาจทำให้ประเทศถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ
ไทยยังมีจุดแข็งหลายด้าน เช่น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เข้มแข็ง ระบบการเงินที่มั่นคง และภาคธุรกิจเอกชนที่ยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัว แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ถูกนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ได้เต็มศักยภาพ เช่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรกว่า 90% และระบบพร้อมเพย์ (PromtPay) ที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 26% แต่กลับยังไม่ถูกนำมาใช้สร้างความได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ดังนั้น ดร.รุ่ง จึงเสนอ 3 แนวทางสำคัญเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างมีคุณภาพ คือ (1) กำหนดทิศทางพัฒนาที่ชัดเจนและสอดคล้องกับทรัพยากรที่มี (2) สร้างกติกาที่เอื้อต่อความสำเร็จและโปร่งใส และ (3) เร่งความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และภาคการเงิน เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
ประเทศไทยต้องไม่ยึดติดกับแนวคิดว่า ‘ภาครัฐคิด เอกชนทำ’ อีกต่อไป แต่ต้องเป็น ‘เอกชนคิด ภาครัฐเอื้อ’ โดยรัฐไม่ควรลงไปแข่งขันในสิ่งที่เอกชนทำได้ดีกว่า แต่ควรสร้างสภาพแวดล้อมและสนับสนุนอย่างเพียงพอ ขณะที่ภาคการเงินต้องกล้าจัดสรรสินเชื่อเพื่อเสริมศักยภาพเอกชน
Connect the Dots รัฐ-เอกชน เปิดพื้นที่ ผสานความร่วมมือ
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยหลายประเด็นถูกหยิบยกถกเถียงมานาน แต่สิ่งที่น่ากังวลคือปัญหาต่างๆ ยังคงเป็นเพียง “วาทกรรม” ที่ไม่ถูกนำไปสู่การปฏิบัติจริง เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ไทยมี ปัญหาแรงงานนอกระบบกว่า 53% ของกำลังแรงงานทั้งหมดที่เรียกร้องสวัสดิการจากรัฐโดยขาดความสมดุล ปัญหาภาษีที่นิติบุคคลอยู่ในระบบเพียง 28% รวมถึงหนี้นอกระบบซึ่งตัวเลขทางการอยู่ที่ 12% แต่ผลสำรวจพบสูงถึง 25% สะท้อนว่าเศรษฐกิจและการเงินไทยยังไม่ inclusive ขาดข้อมูลที่ครอบคลุมและเชื่อถือได้สำหรับการออกแบบนโยบายสาธารณะ
อีกทั้งแรงงานในระบบลดลงต่อเนื่อง ขณะที่แรงงานนอกระบบกลับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ภาคอุตสาหกรรมแข่งขันได้ยาก ธุรกิจใหม่เกิดน้อยกว่าธุรกิจที่ปิดตัวลง ขณะที่สภาพคล่องกว่า 5 ล้านล้านบาทในระบบการเงินไม่สามารถไหลไปสู่การลงทุนภาคจริงได้ สวนทางกับเงินลงทุนไทยที่ไหลออกต่างประเทศมากกว่า 7 ล้านล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นการลงทุนภายในประเทศที่ลดลง โจทย์ใหญ่คือการ connect the dots ทั้งด้านข้อมูล กฎกติกา และการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐที่ยังแยกส่วน (fragmented) ทำให้การตอบสนองต่อปัญหาล่าช้าและไม่ตรงจุด ทั้งที่ทรัพยากรและข้อมูลมีอยู่แล้ว แม้รัฐบาลมีเวลา 4 เดือน และประกาศ Quick Big Win ทำได้จริงหรือไม่ อะไรคือ priority…เป็นตัวพิสูจน์ trust and confidence ว่าเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ทุกภาคส่วนต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าภาคเอกชน รัฐ การเงิน เอกชนไม่ต้องขอรัฐอย่างเดียว
นายผยง ได้ยกตัวอย่างแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand ในฐานะเวทีการทำงานร่วมกัน (co-creation space) ที่ทุกภาคส่วนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อเท็จจริง และทางออกได้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อต่อยอดสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเชื่อมั่นใหม่ “Reinvent Thailand “ คือ ฟอรั่มการทำงานแบบ agile และทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ให้เกิดการถกเถียงเชิงสาธารณะที่สร้างสรรค์ มากกว่าจะปล่อยให้คนสร้างวาทกรรมไปชักจูงระบบและสร้างความรู้ที่บิดเบือนให้สาธารณะ นำไปสู่พฤติกรรมสาธารณะที่ไม่สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ
ปลดล็อกสกิล ‘AI’ ทางรอดแรงงานไทย 50 เด้ง
ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเมทริกซ์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า อนาคตประเทศไทยจะรอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการลงทุนกับสินค้าสาธารณะ (Public Goods) เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับตลาดแรงงาน และการเข้าถึงเทคโนโลยี AI อย่างทั่วถึง ซึ่งจะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมสูงถึง 50 เท่า นับว่า ทางออกคือ ความกล้า กล้าละทิ้ง ความคิดว่าไทยไม่เก่งพอ ไม่เคยทำ สู้ชาติอื่นไม่ได้ คนไม่พอ ทุนไม่พอ โครงสร้างไม่ดีพอ ทุกคนรู้หมด แค่ให้โอกาสตัวเองลองทำอะไรใหม่ๆ เร่งลงทุนใน Public Goods อย่างมีกลยุทธ์ ไม่สำคัญว่าจะลงทุนโดยใคร เพราะผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น 50 เท่าเกินพอสำหรับทุกคน
นับว่าแรงงานไทยเผชิญวิกฤติซ้ำซ้อน ทั้งจำนวนประชากรลดลง และผลกระทบจาก AI ที่อาจทำให้งานกว่า 80% หายไปใน 5 ปีหากไม่มีมาตรการรองรับ ดังนั้น ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างกลไกให้แรงงานเปลี่ยนผ่านไปสู่งานใหม่ แทนการคงงานเก่าแบบซอมบี้ ประเทศไทยต้องหาวิธีทำให้ประชาชนเข้าถึง AI ง่ายที่สุด เช่น การอุดหนุนผ่านคูปอง โดยไม่จำกัดเชื้อชาติของผู้พัฒนาเทคโนโลยี เนื่องจากเอสเอ็มอีไทย 99.5% ต้องการเครื่องมือ AI เพื่อยกระดับผลิตภาพและมีโอกาสเติบโตเป็น ยูนิคอร์นในอนาคต
ภาคเกษตรชะงักงัน ต้องใช้ ‘เทคโนโลยี’ สร้างการเปลี่ยนแปลง
ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งลิสเซินฟิลด์ (ListenField) กล่าวว่า ภาคเกษตรไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 0.23% ระหว่างปี 2555–2565 ขณะที่ช่องว่างรายได้ระหว่างแรงงานเกษตรกับนอกภาคเกษตรห่างกันถึง 5 เท่า ส่วนงบวิจัยมีเพียง 0.3–0.4% ของงบรวม ขณะเดียวกัน KPI ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยสภาพัฒน์ ตั้งเป้าให้ GDP ภาคการเกษตรโต 4.5% ต่อปี และรายได้ครัวเรือนเกษตรเกิน 537,000 บาท/ปี แต่ตัวเลขดังกล่าวนับเป็น “เป้าหมายที่ทะเยอทะยานมาก” และจะไปไม่ถึงหากยังติดคอขวดด้านการปฏิบัติ (execution)
ListenField จึงนำ ‘เทคโนโลยี’ เข้ามายกระดับภาคการเกษตรไทย ตัวอย่างเช่น โครงการที่ทำงานร่วมกับคูโบต้า พื่อวิเคราะห์ธาตุอาหารในดิน ช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างตรงจุด, โครงการร่วมกับ Unilever ภายใต้แนวทาง Regenerative Farming สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตกว่า 70% ให้เกษตรกรกว่า 2,000 และมีผู้รับซื้อให้ราคาพรีเมียมเพื่อจูงใจให้ทำตามมาตรฐานความยั่งยืน, โครงการที่ร่วมกับ ADB โดยให้เกษตรกรจัดการแปลงสมุนไพรเพื่อสกัดน้ำมันหอมระเหย เชื่อมข้อมูลย้อนกลับถึงผู้ซื้อออร์แกนิก เพิ่มรายได้ ราว 5,000 บาทต่อกิโลกรัม.-515 สำนักข่าวไทย