กรุงเทพฯ 23 ก.ย. – ธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจงการปรับปรุงข้อมูลดุลการชำระเงิน ประจำปี 2567 ทำให้ตัวเลขคลาดเคลื่อนสุทธิ (Net Errors and Omissions: NEO) ลดลง 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ชี้เป็นความคลาดเคลื่อนทางสถิติ ไม่ใช่ธุรกรรมการเงินใหม่ที่จะมีผลกดดันค่าเงินบาท ย้ำเป็นการปรับปรุงตามรอบปกติ ไม่ใช่การปรับเฉพาะกิจจากความผิดปกติของการเงิน
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมด้วยนางสาวภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน เปิดเผยว่า การปรับปรุงข้อมูลดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ทำให้เกิดตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนสุทธิ (Net Errors and Omissions: NEO) โดยเป็นความคลาดเคลื่อนทางสถิติที่เป็นไปตามมาตรฐานการปรับปรุงข้อมูลที่ ธปท. ใช้มาตั้งแต่ปี 2019 โดยจะมีการปรับใหญ่ปีละ 1 ครั้งในเดือนกันยายนและปรับย่อยอีก 1 ครั้งในเดือนมีนาคม
สำหรับการปรับปรุงข้อมูลรอบกันยายน 2568 ช่วยอธิบายธุรกรรมที่เคยไม่ครบถ้วนได้มากขึ้น โดยมีปัจจัยหลักดังนี้
• บัญชีเดินสะพัด (Current Account): ข้อมูลนำเข้า–ส่งออกแม่นยำขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันจริงต่ำกว่าที่ประเมิน ทำให้ NEO ลดลง 2.0 พันล้านดอลลาร์
• การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): ใช้ข้อมูลงบการเงินจริง ทำให้ NEO ลดลง 2.7 พันล้านดอลลาร์
• สินเชื่อการค้า (Trade Credit): พบการขยายระยะเวลาชำระหนี้มากขึ้น ทำให้ NEO ลดลง 4.2 พันล้านดอลลาร์
• รายการอื่น : ส่งผลให้ NEO เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.0 พันล้านดอลลาร์
ธปท.ขอย้ำว่า ตัวเลข NEO ที่ถูกปรับเป็นธุรกรรมของปีที่ผ่านมา ไม่ใช่กระแสเงินใหม่ในปีปัจจุบัน จึงไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ที่แข็งค่าในระยะหลัง ซึ่งมีสาเหตุจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเกือบ 10% ปัจจัยในประเทศเช่น ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาดและความเชื่อมั่นทางการเมือง ตลอดจนราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้น ทำให้เกิดแรงขายทองและการแลกเงินกลับมาเป็นเงินบาทมากขึ้น
สำหรับการจัดทำและปรับปรุงข้อมูลดุลการชำระเงินดำเนินการตามมาตรฐานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยหากพิจารณาในเชิงสัดส่วน ตัวเลข NEO ของไทยรอบนี้อยู่ที่ ร้อยละ 1.0 ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของไทยย้อนหลัง 10 ปีที่ ร้อยละ 1.3 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ 173 ประเทศทั่วโลกที่ ร้อยละ 2.4 สะท้อนว่าความคลาดเคลื่อนของไทยยังอยู่ในระดับต่ำและเป็นไปตามมาตรฐานสากล

ธปท.จะเดินหน้าประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมศุลกากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักงาน ปปง. เพื่อเพิ่มความครบถ้วนและความถูกต้องของข้อมูลด้านการค้า การลงทุน และธุรกรรมทางการเงิน พร้อมทั้งสนับสนุนการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัลและมาตรการยืนยันตัวตนทางการเงิน (KYC/AML) เพื่อสร้างร่องรอยธุรกรรม (digital footprint) ที่ตรวจสอบได้ชัดเจนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ธปท. ชี้แจงว่า ตัวเลข NEO ไม่ได้หมายถึงธุรกรรมผิดกฎหมายโดยตรง แต่ยอมรับว่า อาจมีบางธุรกรรมที่ไม่สามารถจำแนกได้ครบถ้วนเช่น การใช้จ่ายเงินสดของนักท่องเที่ยวหรือการเคลื่อนไหวของเงินในบางภาคธุรกิจ ซึ่งต้องอาศัยการติดตามร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงาน ปปง. เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบการเงินถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงินหรือเคลื่อนย้ายเงินที่ผิดกฎหมาย
ธปท. ย้ำว่า การปรับปรุงข้อมูล NEO เป็นกระบวนการตามรอบปกติที่ทำต่อเนื่องทุกปี ไม่ได้สะท้อนความผิดปกติทางเศรษฐกิจหรือการเงินของประเทศ และยังเป็นไปตามหลักเกณฑ์สากลที่นานาประเทศใช้ร่วมกัน. -512-สำนักข่าวไทย