กรุงเทพฯ 1 ส.ค. – หลากมุมมองเมื่อไทยถูกสหรัฐประกาศภาษี Reciprocal Tariff 19% เอกชนชี้ประสบความสำเร็จ แนะดึงงบแสนล้านปฏิรูปการผลิตสินค้าไทยแข่งขันได้ ด้านตลาดทุนมองมีโอกาสหุ้นไทยไปถึง 1,400 จุด ด้านนักวิชาการ ประเมินสงครามการค้ายังไม่จบก็อกต่อไป ผลกระทบ “สหรัฐ-จีน” ไทยต้องใช้นโยบายการคลัง-การเงินอย่างแม่นยำ
หลังจากสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีแบบต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับไทยอัตรา 19% ลดลงจากเดิม 36% มีผล 1 ส.ค.นี้ เป็นอัตราใกล้เคียงกับภูมิภาคอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงแล้ว โดยเวียดนาม 20% ส่วนอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย อัตรา 19%, สิงคโปร์ 10% อย่างไรก็ตาม สหรัฐมีข้อกำหนดเพิ่มเติมหากมีการสวมสิทธิ์หรือเป็นทางผ่านสินค้า เวียดนามจะถูกเก็บเพิ่มอีก 40%, อินโดนีเซียบวกเพิ่มอีก 19%
นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า อัตราภาษี 19% ถือว่าประสบสำเร็จมาก จากที่สหรัฐประกาศรอบแรก 36% นับเป็นอัตราที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับทุกภูมิภาค สินค้าไทยจะแข่งขันได้ในทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลและเอกชนจะต้องร่วมมือนับจากนี้เป็นต้นไปคือ ปรับใหญ่ ในการปฏิรูปทุกด้านเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพราะข้อตกลงครั้งนี้เป็นการเปิดเสรีในทุกภาค ทั้งภาคเกษตร, อุตสาหกรรม, การบริการ เพราะฉะนั้นไทยต้องร่วมมือปฏิรูปซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมการเปิดเสรีในอนาคตของทุกตลาด ในขณะเดียวกันที่สหรัฐมีข้อกำหนด เรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า ห้ามการสวมสิทธิ์จากประเทศอื่นๆ ก็นับเป็นเรื่องดีที่สินค้าในประเทศต้องเพิ่มศักยภาพทั้งซัพพลายเชน นับได้ว่าจะเป็นการเสริมศักยภาพเอสเอ็มอี อย่างแท้จริง
“รัฐ-เอกชน ต้องร่วมมือกันปฎิรูปทั้งระบบให้แข่งขันได้ โดยรัฐบาลต้องใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมไว้กว่า 1 แสนล้านบาท มาทำแผนให้เอกชนลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ โดยให้แต่ละกลุ่มทำแผน ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ในขณะที่ภาคการเกษตรที่สินค้าไทยมีการส่งออก เกษตร-อาหาร 2 ล้านล้านบาท/ปี พัฒนาให้เติบโต 7% ต่อปี ก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มนวัตกรรม R&D ยกระดับให้เกษตรกรไทย สินค้าเกษตรมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น”
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน กล่าวว่า อัตราภาษีสหรัฐ 19% เป็นตัวเลขที่ดี เป็นอัตราที่แข่งขันได้ เป็นระดับเดียวกับภูมิภาคนี้ ทำให้ภาพต่างๆ มีความแน่นอน และในระยะปานกลางหุ้นไทยอัพไซต์ ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสไปถึง 1,400 จุดได้ แต่ในระยะสั้นยังน่าเป็นห่วงเพราะแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวจากที่ไทยเร่งส่งออกไปก่อนหน้านี้ การท่องเที่ยว การผลิต ก็คาดว่าจะไม่ค่อยดีนักก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป นอกจากนี้สิ่งที่ต้องจับตามองคือ อัตราภาษีของกลุ่มอเมริกาใต้ต่ำมาก อยู่ที่ราวประมาณ 10% ต่ำกว่าในอาเซียน แสดงว่าสหรัฐต้องการปรับการระบบการผลิตดึงซัพพลายเชน จากฝั่งเอเชียไปใกล้ๆ อเมริกามากขึ้น ซึ่งไทยก็ต้องปรับตัวรับมือในอนาคต
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ระบุผ่าน facebook ส่วนตัว ว่าอัตราภาษีที่ต่ำลง เปิดโอกาสให้ไทย รอดได้พร้อมๆ เพื่อนบ้าน ในสภาวะที่สหรัฐกีดกันการค้าเข้มขึ้น แต่ให้จับตาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจยังไม่จบ จนไทยโดนผลกระทบทางอ้อมได้ เช่นนักท่องเที่ยวจีนขยายตัวต่ำ หรือลดลงจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่เปราะบางมากขึ้น โดยจุดแข็งที่ต้องเร่งต่อยอด คือการพัฒนาห่วงโซ่การผลิตในประเทศ, ปรับต้นทุนธุรกิจให้แข่งขันได้, ใช้นโยบายการคลัง-การเงินอย่างแม่นยำ โดยในส่วนของ นโยบายการคลังควรเน้นประคองเศรษฐกิจ ช่วยภาคที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนนำเข้าสูง เช่น ภาคเกษตรบางกลุ่ม อุตสาหกรรมที่ไทยลดภาษีนำเข้าอาจต้องมีมาตรการเยียวยาแรงงาน หรือ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ในขณะที่นโยบายการเงินยังผ่อนคลายได้, เงินเฟ้อต่ำ เปิดทางให้ดอกเบี้ยลดต่ำต่อไปได้, เศรษฐกิจโตช้า เพิ่มสภาพคล่อง เร่งการปล่อยสินเชื่อ, ภาคท่องเที่ยวยังอ่อนแรง ก็ต้องเสริมความจำเป็นต้องกระตุ้นต่อ
ทั้งนี้ ภาษี 19% ก็ทำให้ส่งออกไทยหดตัวน้อยกว่าคาด สินค้าที่พอจะแข่งขันได้: อิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, ยางรถยนต์, อาหารแปรรูป, ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ แต่ถึงอย่างไร การเติบโตด้านส่งออกของไทยน่าจะหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะสหรัฐจะลดการนำเข้าโดยรวม (จากการเร่งสตอกล่วงหน้า + เศรษฐกิจชะลอจากเงินเฟ้อที่จะขยับขึ้น) ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตของไทยชะลอ การจ้างงาน ชั่วโมงการทำงานและการบริโภคเสี่ยงขยายตัวต่ำในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ข่าวดีคือ ยังน่าพอประคองตัวได้ ไม่หดตัวเช่นกรณีถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง
ในขณะที่ไทยต้องลดความเสี่ยงจากการ “สวมสิทธิ” ส่งออก เพราะภาษีสหรัฐที่เข้มงวดทำให้ transshipment (การลักลอบใช้สิทธิไทย) ลดลง เพราะจะโดนภาษีเพิ่มอีก 40% แต่ไทยต้องระวัง: สินค้าที่มี import content สูง อาจถูกมองว่าไม่ได้ผลิตจริงในไทย ทางแก้ไข ทางเร่งสร้างฐานการผลิตในสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง เน้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พวกเซมิคอนดักเตอร์
นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) อาจเพิ่ม , นักลงทุนย้ายฐานจากจีนมาสู่ไทย ไม่ต้องแย่งเวียดนาม อินโดนีเซียมากนัก โดยสินค้าเป้าหมาย: กลุ่มที่ถูกเก็บภาษีพอๆ กันและเน้นตลาดส่งออกไปสหรัฐ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, ชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ อย่าลืมว่าผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงจากอัตราภาษีที่ไทยเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่ลดลง เช่น ยาและเวชภัณท์ ผลิตภัณท์อาหาร และอาหารสัตว์ ข้าวโพด ถั่วเหลือง และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มนี้ และข้อควรระวัง ไทยยังเสียเปรียบด้านโครงสร้างต้นทุน เช่น ค่าแรงสูง ค่าไฟแพง กฎระเบียบซ้ำซ้อน พยายามสร้างจุดขายพวก ESG พลังงานทดแทน.-511-สำนักข่าวไทย