1 ส.ค. – นักเศรษฐศาสตร์ แนะรัฐเร่งช่วยเหลือรายย่อยปรับตัว รองรับสหรัฐ เก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 19
ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า กรณีสหรัฐแจ้งเก็บภาษีนำเข้าจากไทยร้อยละ 19 นับว่าเป็นอัตราใกล้เคียงกับคู่แข่งประเทศเพื่อนบ้านร้อยละ 19-20 ต้องยอมรับว่า โลกสมัยใหม่ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง มีรูปแบบการกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่ๆมากขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ รัฐบาลต้องหาแนวทางรับผลกระทบในด้านต่างๆ ประกอบด้วย หามาตรการส่งเสริมการปรับลดต้นทุนการผลิตสินค้า โดยในภูมิภาคนี้แข่งขันกันในลักษณะภาษีแตกต่างกัน โดยตลาดสหรัฐยังมีความสำคัญทางค้ากับไทย เมื่อสินค้าจากจีนส่งออกไปยังสหรัฐไม่ได้ ต้องไหลทะลักเข้ามาทุ่มตลาดยังประเทศไทย ทำให้มีราคาสินค้าราคาถูกเข้ามาเป็นจำนวนมาก รัฐบาลและภาคเอกชน ต้องร่วมกันผลักดันเก็บภาษีการทุ่มตลาด ภาษีต่อต้านการอุดหนุนสินค้า สำหรับภาคเอกชนต้องปรับต้นทุน ปรับประสิทธิภาพในการแข่งขัน
ทั้งนี้ ไทยต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพราะผลกระทบทำให้การส่งออกของไทยในสิ้นปี 68 ขยายตัวเพียงร้อยละ 4-5 หลังจากในช่วง 7 เดือนแรกของปี ขยายตัวร้อยละ 10 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัว เติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็นตามศักยภาพ หลังจากการท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบหนักในช่วงนี้ จึงต้องหาตลาดใหม่ในการทำการส่งออก เช่น ละตินอเมริกา เพื่อกระจายสินค้าไปหลายประเทศอเมริกาใต้ ส่วนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประตูไปสู่ซาอุฯและหลายประเทศในตะวันออกกลาง ขณะที่ตลาดเก่าต้องทำการบ้านให้หนักขึ้น เช่น สหรัฐ ยุโรป
นอกจากนี้รัฐบาลไทยต้องเร่งจัดทำ FTA กับหลายประเทศเพิ่มเติม เพราะการเจรจาและบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐครั้งนี้ เป็นเหมือนการทำ FTA แบบทวิภาคีด้วยเช่นกัน ขณะนี้ไทยกำลังเจรจากับสหภาพยุโรป และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และควรขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลก สำหรับภาคเอกชนต้องเตรียมตัวรับมือกับ FTA กับหลายประเทศ เพื่อเข้าไปลงทุนและใช้สิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า ไปยังกลุ่มประเทศจัดทำ FTA ร่วมกัน เพื่อกระจายไปกลุ่มเดียวกันให้ได้รับสิทธิ์ภาษี 0% ในแต่ละกลุ่มประเทศ ภาคเอกชนต้องทำการส่งออกคู่ขนานไปกับการลงทุนด้วยเช่นกัน
ดร.สมชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในโลกยุคดิจิทัล ต้องปรับสินค้าไทยและบริการให้มีคุณภาพในระดับโลก ที่ผ่านมาเสียความสามารถในการแข่งขัน เพราะต้นทุนการผลิตของไทยยังสูง จึงต้องมามุ่งเน้นมาตรการฐานการผลิต เพราะเศรษฐกิจไทยในช่วง 14 ปี ที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.5 นับว่าต่ำกว่าศักยภาพอีกมาก ทำให้จีดีพีไทยต่ำในอันดับ 9 ของอาเซียน จึงต้องปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของสินค้าจากไทย และด้านบริการ.-สำนักข่าวไทย