กรุงเทพฯ 18 ธ.ค. – ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียน เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 19 (COP-19) โดยประเทศสมาชิกเตรียมจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อควบคุมหมอกควันข้ามแดนขึ้นที่อินโดนีเซีย
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียน เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 19 (COP – 19) ร่วมกับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนสาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และผู้แทนรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มาเลเซีย เนการาบรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รวม 9 ประเทศ
การประชุมนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของทุกประเทศในอาเซียนที่จะร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า ฝุ่นละออง รวมถึงหมอกควันข้ามแดน โดยมีผลการประชุมหรือข้อตกลงร่วมกันที่สำคัญ เกี่ยวกับกรอบการดำเนินงานติดตามตรวจสอบและประเมินผลโรดแมปอาเซียนปลอดหมอกควันฉบับที่ 2 ได้แก่ 1) มอบหมายให้ศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อควบคุมมลพิษ จากหมอกควันข้ามแดน ร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียนจัดทำรายงานความคืบหน้าประจำปี โดยจะให้มีการพัฒนาตัวชี้วัดเพื่อติดตามและประเมินผลในอนาคต เช่น ดัชนีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ ดัชนีสภาพอากาศที่เกิดไฟไหม้ การประเมินปริมาณเชื้อเพลิง การวิเคราะห์ความถี่ในการลาดตระเวน
2) มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการอาเซียน จัดทำแนวทางการวิเคราะห์แผนที่การเผาไหม้เพื่อใช้ประเมินการบรรลุผลตามเป้าหมายของโรดแมปอาเซียนปลอดหมอกควันฉบับที่ 2 (Guideline for Burned Area Mapping and Analysis for Achieving a Haze-Free Southeast Asia) 3) เห็นควรให้มีคณะทำงานพิจารณาแนวทางการดำเนินงานในการลดจุดความร้อนในพื้นที่พรุอาเซียนให้ได้ตามเป้าหมายร้อยละ 20 4) การพิจารณากลไกการติดตามการดำเนินงานภายใต้ ASEAN Investment Framework ซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่ประเทศสมาชิกรับรองร่วมกันในปี 2566 ในการแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชนในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบผลการดำเนินงานหรือผลสำเร็จของประเทศไทย ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในปี 2567 ซึ่งสามารถลดจำนวนจุดความร้อนได้ถึงร้อยละ 21 และค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่น PM2.524 ชั่วโมง ลดลงร้อยละ 13
ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ประเทศไทยร่วมลงนามจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อควบคุมมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มเพื่อการลงนามในข้อตกลงต่อไป ศูนย์ประสานงานดังกล่าวจะจัดตั้งที่ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเชื่อมั่นว่า จะทำให้การประสานงานเพื่อควบคุมหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียนทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
นายนราพัฒน์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดขณะนี้คือ สถานการณ์หมอกควันข้ามแดนในอนุภูมิภาคแม่โขง ซึ่งก่อนหน้านี้ ไทยร่วมประชุมกับกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม สํานักงานเลขาธิการอาเซียน และผู้แทนจากศูนย์เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาเฉพาะทางอาเซียน โดยศูนย์เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาอาเซียน ได้รายงานจำนวนจุดความร้อนรวมในอนุภูมิภูมิภาคแม่โขง ปี 2567 ซึ่งลดลงจากปี 2566 ประมาณ 12.5% และได้คาดการณ์ว่า สภาวะเป็นกลางและลานีญาในช่วงสั้นๆ จะเกิดขึ้นในช่วงธันวาคม 2567-มีนาคม 2568 ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนอยู่ในระดับปกติจนถึงมากกว่าปกติในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นในฤดูแล้งในช่วงกุมภาพันธ์ถึงเมษายน จะยังส่งผลให้เกิดปัญหาความแห้งแล้ง จึงต้องระวังปัญหาหมอกควันรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงดังกล่าว
นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศในอนุภูมิภาคแม่โขงตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนภายใต้แผนปฏิบัติการเชียงราย (Chiang Rai 2017 Plan of Action) ประเทศไทยได้เสนอให้ที่ประชุมตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนเพิ่มในปี 2569-2573 เพื่อให้สอดคล้องกับโรดแมปอาเซียนปลอดหมอกควันฉบับที่ 2 ซึ่งตั้งเป้าหมายอาเซียนปลอดหมอกควันภายในปี 2573 โดยที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันในการขยายเป้าหมายการลดจุดความร้อนรายปี จนถึงปี 2573 และจะพิจารณาตัวเลขเป้าหมายรายปีเพื่อเป็นเป้าหมายร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันในอนุภูมิภาคแม่โขงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในการประชุม14th MSC Mekong ที่จะจัดขึ้นใน สปป.ลาว ในปี 2568
ประเทศไทยยังคงสนับสนุนการดำเนินงานจัดการปัญหามลพิษทางอากาศกับประเทศสมาชิก และมุ่งมั่นที่จะยกระดับความร่วมมือในอนุภูมิภาคแม่โขงและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้แผนปฎิบัติการเชียงรายในระดับอนุภูมิภาคแม่โขง และแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (2567 – 2573) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในอนุภูมิภาค. -512-สำนักข่าวไทย