เชียงใหม่ 5 เม.ย.- ปลัด ทส. สั่งกรมอุทยานฯ เร่งดับไฟป่าและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงในภาคเหนืออย่างเข้มงวด ทั้งเพื่อรักษาทรัพยากรป่าไม้-สัตว์ป่า ตลอดจนลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ยังเกินค่ามาตรฐานหลายจังหวัด ย้ำทำความเข้าใจประชาชนและกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่แบบ “เคาะประตูบ้าน” ด้านอธิบดีกรมอุทยานฯ จัดวางกำลังพลเฝ้าระวังให้ทันต่อสถานการณ์ที่อาจมีความรุนแรงของไฟป่าเกิดขึ้นได้อีก
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า เป็นห่วงสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ที่ส่งผลให้ปริมาณฝุ่น PM2.5 หลายพื้นที่สูงเกินค่ามาตรฐาน เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขเพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง
ทั้งนี้ไฟป่าที่เกิดขึ้นมีสาเหตุหลักจากการจุดไฟเผาจึงกำชับทั้งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชและกรมป่าไม้ให้ยกระดับการเฝ้าระวัง รวมถึงขอความร่วมมือผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในการเข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชนและกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่แบบ “เคาะประตูบ้าน” เพื่อให้ร่วมกันดูแลรักษาผืนป่าไว้
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกล่าวว่า ได้ป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนืออย่างเต็มที่ซึ่งระยะที่ผ่านมาอยู่ในห้วงวิกฤติ โดยเน้นย้ำเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ปฏิบัติงานเชิงรุกทั้งในพื้นที่แนวชายแดน พื้นที่ป่า และพื้นที่อื่นๆ เพื่อไม่ให้มีการลักลอบเผาป่า ให้ทุกหน่วยงานหารือกับหน่วยงานในท้องถิ่นและประสานงานกับทางจังหวัด เพื่อประชาสัมพันธ์และร่วมพูดคุยกับชุมชนอย่างใกล้ชิด ขอความร่วมมือในการไม่จุดไฟเผาเพื่อรักษาทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ตลอดจนลดปัญหาฝุ่นละอองที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยรวม ตลอดจนนำข้อมูลพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ยังไม่ถูกไฟไหม้และต้องเฝ้าระวังแจ้งให้หน่วยงานในสังกัดทส. ได้รับทราบ เพื่อนำไปยกระดับการเฝ้าระวังและการประชาสัมพันธ์เชิงรุกแบบ “เคาะประตูบ้าน” ต่อไป
นอกจากนี้ยังเตรียมความพร้อมกำลังพลให้ทันต่อสถานการณ์ที่มีความรุนแรงของไฟป่าเกิดขึ้นได้อีก ยังวางแผนสับเปลี่ยนกำลังพลให้ดีและเพียงพอ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่เกิดความอ่อนล้า เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากเกิดความสูญเสียของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่เข้าดับไฟป่าซึ่งจะเข้าไปดูแลและช่วยเหลืออย่างดีที่สุด
ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศรายงานผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศประจำวันที่ 5 เมษายน 2566 ณ 07:00 น พบว่า ปริมาณ PM2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานใน 27 จังหวัดได้แก่ กรุงเทพฯ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.น่าน จ.แม่ฮ่องสอน จ.พะเยา จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.อุตรดิตถ์ จ.พิษณุโลก จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.ชัยนาท จ.สิงห์บุรี จ.ลพบุรี จ.สระบุรี จ.สุพรรณบุรี จ.ราชบุรี จ.บึงกาฬ จ.หนองคาย จ.เลย จ.อุดรธานี จ.นครพนม จ.หนองบัวลำภู และจ. มุกดาหาร
ส่วนผลการตรวจวัดตามรายภาคมีดังนี้
– ภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 35 – 320 มคก./ลบ.ม.
– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐาน 7 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 34 – 115 มคก./ลบ.ม.
– ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐาน 6 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 35 – 63 มคก./ลบ.ม.
– ภาคตะวันออก ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 17 – 38 มคก./ลบ.ม.
– ภาคใต้ ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตรวจวัดได้ 11 – 23 มคก./ลบ.ม.
– กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสถานีตรวจวัดของ คพ. ร่วมกับ กทม. เกินค่ามาตรฐาน 10 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 28 – 104 มคก./ลบ.ม.
กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษระบุว่า พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 โดยเฉพาะภาคเหนือ ในจังหวัดที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านจนถึงวันที่ 12 เมษายน โดยช่วงวันที่ 6-7 เมษายนต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเพราะอากาศค่อนข้างปิด ส่วนในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ระหว่างวันที่ 6 ถึง 12 เมษายน ยังคงมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากสภาพอากาศที่เปิดมากขึ้น เพดานการลอยตัวอากาศที่สูงขึ้น ประกอบกับลมทางใต้ที่กำลังแรงช่วยพัดพาฝุ่นละอองออกจากพื้นที่
ทั้งนี้ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ Air4Thai.com และ airbkk.com แอปพลิเคชัน Air4Thai และ AirBKK.-สำนักข่าวไทย