สน.มีนบุรี 7 ก.ค. – 1 ใน 7 เจ้าหนี้นอกระบบที่ปล่อยเงินกู้ให้กับครอบครัวช่างเย็บผ้าจนคิดสั้นจบชีวิต มอบตัวกับ ตร.แล้ว ยอมรับผิดปล่อยกู้ดอกโหดจริง แต่ปฏิเสธข่มขู่ทำร้ายร่างกาย ด้านตำรวจเร่งล่าเจ้าหนี้อีก 6 ราย
นายธนวัฒน์ และนายยุทธพงษ์ 1 ใน 7 เจ้าหนี้ เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี โดยมี พ.ต.อ.รัฐศักดิ์ รักสลาม รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 ร่วมสอบปากคำในคดีเงินกู้ดอกเบี้ยโหด จนทำให้ 4 ชีวิตครอบครัวช่างเย็บผ้าย่านมีนบุรีคิดสั้นจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย โดยเจ้าหนี้ทั้ง 2 คน เปิดเผยว่า พวกตนไม่ได้มีการข่มขู่ทำร้ายร่างกายตามที่เป็นข่าว ยอมรับว่ามีการปล่ยกู้ให้ 10,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อวัน หรือร้อยละ 60 ต่อเดือน และมีการไปตามทวงที่บ้านจริง เพราะยังไม่มีการชำระดอกเบี้ยให้เลย ตามที่ตกลงกันไว้ แต่ไม่เจอตัว และพวกตนไม่ได้มีการข่มขู่ทำร้ายร่างกายตามที่เป็นข่าว
ซึ่งเมื่อทราบข่าวตามสื่อ รู้สึกสงสาร ยินดีที่จะลดเงินต้นให้จากเดิม 10,000 บาท เหลือ 5,000 บาท ให้ใช้เดือนละ 1,000 โดยไม่เรียกเก็บดอกเบี้ย และยืนยันไม่รู้จักกับเจ้าหนี้รายอื่น ส่วนเงินที่นำมาปล่อยกู้ ได้มาจากนายทุนอีกทอด
ด้าน พ.ต.อ.รัฐศักดิ์ เผยว่าวันนี้มีเจ้าหนี้ 1 เจ้า จำนวน 2 คน ที่ไปตามทวงเงิน เดินทางมามอบตัว ให้การรับสารภาพว่าปล่อยเงินกู้ให้กับผู้เสียหายจริง แต่ยืนยันไม่ได้ข่มขู่ หรือทำร้ายร่างกาย จึงมีความผิด 2 ข้อหาคือ ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกรับดอกเบี้ยเกิดอัตราที่กฎหมายกำหนด ส่วนเจ้าหนี้อีก 6 ราย ตำรวจอยู่ระหว่างหาหลักฐานออกหมายจับ ซึ่งบางรายอาจจะถูกดำเนินคดีถึง 6 ข้อหา เพราะมีพฤติกรรมข่มขู่ และบุกรุกเคหะสถาน นอกจากนี้ได้สั่งการสืบสวนเร่งติดตามขยายผลตรวจสอบว่าเจ้าหนี้ได้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับรายอื่น ๆ อีกหรือไม่ ยืนยันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายให้ทุกท้องที่เร่งปราบปรามปัญหาเงินกู้นอกระบบ ปล่อยกู้ดอกเบี้ยโหด และห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขบวนการปล่อยกู้นอกระบบโดยเด็ดขาด
ขณะเดียวกันมีการเรียกผู้เสียหาย หญิง อาชีพช่างเย็บผ้า เข้าให้ปากคำเพิ่มเติมพร้อมกับชี้ภาพถ่าย และนำพยานหลักฐานมอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อใช้ประกอบการดำเนินกับแก๊งเงินกู้ดังกล่าว โดยผู้เสียหายยืนยันว่ายังคงจะชดใช้หนี้ให้กับเจ้าหนี้ทั้งหมดรวม 65,000 บาท รวมดอกเบี้ย แต่อยากเจ้าหนี้ขยายเวลาในการผ่อนชำระหนี้ให้ เนื่องจากตนเองได้กลับไปอยู่บ้านเช่าเหมือนเดิมและเถ้าแก่ได้นำจักรเย็บผ้ากลับมาให้ประกอบอาชีพเพื่อชดใช้หนี้ ส่วนสามีกลับไปวิ่งรถสองแถวเหมือนเดิมทำให้ตัวเองรู้สึกมีกำลังใจขึ้นในการกลับมาใช้ชีวิตและหารายได้ส่งเสียลูกเรียนหนังสือ แต่ยังยอมรับว่าที่ผ่านมายังคงผวาและกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็อุ่นใจเพราะมีตำรวจไปคอยดูแลความปลอดภัยให้ที่บ้าน ต้องขอบคุณตำรวจที่ช่วยเหลือรวมถึงออกค่าเช่าบ้านที่คงค้างให้ครอบครัวได้กลับไปพักที่บ้านเหมือนเดิม ยืนยันว่าหลังจากนี้จะไม่ทำร้ายตัวเองอีก เพราะที่ผ่านมาครอบครัวได้พูดคุยกันว่าจะใช้ชีวิตและต่อสู้ไปด้วยกัน และจะอยู่บ้านเช่าหลังเดิมเดิมเพราะทำให้มีรายได้. -สำนักข่าวไทย