25 ส.ค. – คลิปเสียงกังขา ตำรวจรีดข้อมูลบางอย่างจากผู้ต้องหาคดียาเสพติด นอกจากเงิน 2 ล้านบาท
คดี “ผกก.โจ้” ยังเป็นข้อกังขาสังคม มีอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นใบรับรองการเสียชีวิตที่ออกมาว่าค่อนข้างขัดกับคลิปที่เห็น และคลิปฉบับเต็มที่ได้เห็นเพิ่มจากที่ทนายตั้ม หรือนายษิทรา เบี้ยบังเกิด โพสต์ในเฟซบุ๊ก ซึ่งในคลิปที่ได้ยินเสียงไม่ได้พูดถึงเรื่องการรีดเงิน แต่เป็นการถามหาอะไรบางอย่าง ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าการที่ผู้กำกับโจ้ และพวก ก่อเหตุอย่างโหดเหี้ยมนี้ มีเรื่องอื่นนอกเหนือจากการรีดเงิน 2 ล้านบาท แลกกับการปล่อยตัวหรือไม่
นี่เป็นส่วนหนึ่งของคลิปเต็มความยาวประมาณ 10 นาที สร้างความกังขาให้กับคนที่สามารถทนดูภาพความโหดเหี้ยมอำมหิตได้จนครบ เพราะในคลิปเสียงจะได้ยินคำถามที่ต้องการรีดข้อมูลบางอย่าง และถามย้ำหลายๆ ครั้งว่าของอยู่ไหน ทำให้อาจเชื่อได้ว่านอกจากประเด็นการขู่เรียกเงิน 2 ล้านบาท ยังมีประเด็นอื่นด้วยที่ทำให้ ผู้กำกับโจ้พยายามอย่างหนักในการรีดข้อมูลจากผู้ต้องหา นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่าหนึ่งในตำรวจที่ถูกควบคุมตัวให้การซัดทอดว่าจำใจทำ เพราะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้กำกับโจ้ ส่วนปมการก่อเหตุขอยังไม่เปิดเผย
เช่นเดียวกับกรณีมีคลิปเผยแพร่ในโซเชียล ภาพนาทีที่ผู้กำกับโจ้ไปเจอหน้าพ่อกับแม่ของผู้ตาย รวมถึงก้มไหว้และกอดแม่ของผู้ตาย ซึ่งในตอนนั้นหลายคนบอกว่าพ่อแม่ยังไม่เห็นคลิปนี้ ทำให้เป็นที่มาว่า ในตอนนี้พ่อกับแม่มีความเห็นอย่างไร
ยังมีอีกประเด็นที่สร้างความกังขาให้กับสังคม คือเรื่องใบรับรองการเสียชีวิต ที่วานนี้เสนอข่าวไปว่าใบรับรองการเสียชีวิตที่ออกโดยโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ และนายแพทย์ณัฐพงศ์ ตุลาพันธ์ แพทย์นิติเวช เป็นผู้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าสันนิษฐานว่าพิษจากสารแอมเฟตามีน ซึ่งไม่สอดคล้องกับคลิปที่ปรากฏออกมา
ทนายษิรา เบี้ยบังเกิด ถึงกับออกปากว่าการลงว่าเสียชีวิตจากพิษแอมเฟตามีนในหนังสือรับรองการตาย ทนายแบบตนไปไม่เป็นเลยถ้าไม่รู้สาเหตุ สันนิษฐานว่าหัวใจล้มเหลว ขาดอากาศหายใจอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ชี้นำแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเฟซบุ๊กโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ได้ออกหนังสือชี้แจงประเด็นนี้ มีใจความสำคัญในย่อหน้าแรกคือ ผู้เสียชีวิตอายุ 24 ปี ได้รับการส่งตัวมาจากโรงพยาบาลปริ้นปากน้ำโพ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2564 เวลา 19.20 น. และเสียชีวิตลงในวันที่ 6 ส.ค. 2564 เวลา 13.00 น. โดยทราบประวัติจากโรงพยาบาลปริ้นปากน้ำโพ ว่าผู้ตายวิ่งหนีตำรวจขณะจับยาเสพติดแล้วล้มลงหมดสติ ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวขณะอยู่โรงพยาบาล
หลังเสียชีวิตได้ทำการชันสูตรพลิกศพที่กลุ่มงานนิติเวช โดยแพทย์นิติเวช และทำการผ่าศพวันที่ 7 ส.ค. 2564 เวลา 09.00 น. เนื่องจากต้องรอผลตรวจโควิดของผู้ตาย การตรวจคัดกรองปัสสาวะพบสารเมทแอมเฟตามีนและสารแอมเฟตามีน โดยลงสาเหตุการตายเบื้องต้นในหนังสือรับรองการตายว่า สันนิษฐานว่าพิษจากสารแอมเฟตามีน ขณะนี้กำลังรอผลตรวจระดับสารเมทแอมเฟตามีนในเลือด และผลการชันสูตรพลิกศพ เพื่อนำมาสรุปในรายงานชันสูตรฉบับสมบูรณ์ที่จะออกในสัปดาห์หน้า
หนังสือรับรองการตายที่แพทย์ออกให้ หลังการผ่าพิสูจน์ทันที เพื่อให้ญาติไปทำมรณะบัตรเป็นเพียงข้อมูลขั้นต้น ที่อาจเหมือนหรือแตกต่างจากรายงานการชันสูตรพลิกศพที่มีในภายหลังได้ เพราะผลตรวจชิ้นเนื้อจากกล้องจุลทรรศน์ และผลตรวจทางห้องปฏิบัติพิษวิทยาที่ออกมาภายหลัง จะทำให้สรุปสาเหตุการตายได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
โรงพยาบาลกำลังดำเนินการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากผู้อยู่ในเหตุการรักษาพยาบาล และตรวจศพทั้งหมด เมื่อมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป
ขณะที่ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ยืนยันซ้ำว่าหนังสือรับรองการตายที่ปรากฏในสื่อ ยังไม่ถือว่าสิ้นสุด หนังสือรับรองการตายเป็นเพียงส่วนประกอบให้เขต ออกใบมรณะบัตรเท่านั้น แต่ในส่วนของคดีที่เป็นคดีอาญา ปกติต้องมีรายงานชันสูตรที่เป็นการผ่าศพ แยกธาตุประกอบ หามีความผิดปกติในสาเหตุการตาย เพื่อใช้ในการดำเนินคดี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของคดี (ตำรวจ) ได้แจ้งแพทย์นิติเวชว่าอย่างไร ส่วนกรณีที่มีคลิปปรากฏการทำร้ายร่างกายแบบขาดอากาศ หากมีการนำส่งร่างผู้ป่วยถึงโรงพยาบาล บางครั้งหลักฐานการทำร้ายร่างกายไม่ได้ปรากฏในทันที ต้องใช้เวลา และต้องใช้การผ่าศพแยกธาตุเท่านั้นจึงจะทราบข้อเท็จจริง
ล่าสุดมีรายงานว่า พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึง ผบ.ตร. ขอให้มีคำสั่งตั้งให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน และปรับเพิ่มคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวน โดยมีใจความสำคัญว่า จากการลงพื้นที่ติดตามข้อเท็จจริงของคดี และปรากฏภาพตามคลิปในสื่อโซเชียล เห็นว่าตำรวจทั้ง 6 นาย ที่ร่วมกระทำการก่อเหตุกับผู้กำกับโจ้ มีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นข้าราชการตำรวจ ต้องหาว่ากระทำความผิดคดีอาญา มีพฤติการณ์อันเป็นความร้ายแรง สร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของตำรวจ โดยเป็นผู้รักษากฎหมาย แต่กลับกระทำตนละเมิดกฎหมายโดยใช้อำนาจหน้าที่ราชการ ถ้าคงอยู่ในหน้าที่ราชการต่อไปจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบ สวนพิจารณาหรือจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นเป็นกรณีมีมูลเป็นการกระทำ ผิดวินัยร้ายแรง โดยที่การสอบสวนพิจารณาทางวินัยและอาญา อาจมีความสลับชับช้อน และการพิจารณาอาจไม่เสร็จสิ้นโดยเร็ว จึงเห็นควรมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจทั้ง 6 นายที่เกี่ยวข้องออกจากราชการไว้ก่อน
นอกจากนี้ยังขอให้ปรับเพิ่มคณะกรรมการสอบสวนอีก 6 นาย โดยมี พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช รอง จตช. เป็นประธานกรรมการ แทน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง ผบช.ภ.6 .-สำนักข่าวไทย